เมืองไทย 360 องศา
หลายคนอาจจะ “ขยี้ตา” พร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า มันเป็นไปได้อย่างไร กับภาพที่เห็นแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ เดินขึ้นที่ทำการพรรคเพื่อไทยตามคำเชิญ และเชื่อว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมาจะต้องมีแกนนำจากพรรคพลังประชารัฐมาร่วมดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ที่พรรคนี้ด้วยตามคำเชิญ เพราะสองพรรคหลังนี้ คือ ความหมายของ “สองลุง” ที่ในทางการเมืองแล้ว ถือว่า ท่านมาถูกทำให้เป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่ต้องห้ำหั่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย
และต้องไม่ลืมกัน ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยรัฐประหารรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นเครือข่ายใน “ระบอบทักษิณ” เมื่อปี 2557 รวมไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เคยเป็นผู้อำนวยการของ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในปี 53 ซึ่งก็คือช่วง “ปราบม็อบเสื้อแดง” นั่นเอง
แม้ว่าในการเชิญมาหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยดังกล่าว ยังมีพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติพัฒนากล้า และมีพรรคชาติไทยพัฒนา ตามมาอีก แต่ที่ต้องโฟกัสเป็นพิเศษก่อนใคร ก็คือ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” นั่นแหละ ขณะเดียวกัน ก็ต้องรับรู้แล้วว่า พรรคดังกล่าวนี้เกี่ยวพันเชื่อมโยงกับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และแม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ คือ ก่อนวันที่ 13 กรกฎาคม ก่อนที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภา “ลุงตู่” ก็ได้ประกาศวางมือทางการเมือง พร้อมทั้งลาออกจากสมาชิกพรรค และทุกตำแหน่งในพรรครวมไทยสร้างชาติ ไปแล้ว
แต่ภาพที่ นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค เดินเข้ามาในที่ทำการพรรคเพื่อไทย เมื่อบ่ายวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พร้อมกับชนแก้วเครื่องดื่มเย็นชื่นใจ มันก็ทำให้เกิด “ความรู้สึกใหม่ๆ” ที่หลายคนอาจยังไม่ชินนัก เพราะมันเป็นภาพของ “ลุงตู่” พร้อมๆ กับกลุ่ม “กปปส.” เข้ามาในหัวแบบมึนตึ้บเหมือนกัน
แต่อย่าเพิ่งมึนกันจนล้มพับไปก่อน เพราะหลังจากนั้น จะมีภาพของ “อีกลุง” คือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เป็นทุกอย่างในพรรคพลังประชารัฐ จะตามมาอีก โดยเป็นการส่งตัวแทนเข้ามาหารือในที่เดียวกัน
แม้ว่าในวงการหารือกับพรรคเพื่อไทยดังกล่าวนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติ โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค จะย้ำว่า ยังไม่ได้เป็นการหารือเพื่อร่วมรัฐบาล หรือไม่ร่วมรัฐบาล แต่เป็นการพูดคุยเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ และมาย้ำหลักการว่า จะไม่ร่วมมือกับพรรคที่แก้ไข หรือยกเลิก มาตรา 112 ซึ่งก็คือไม่เอาพรรคก้าวไกล นั่นเอง
ขณะที่พรรคอื่น อาจมีภาพของการร่วมรัฐบาลชัดเจนกว่า เช่น ภูมิใจไทย ที่นำมาโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคพลังประชารัฐ ชาติพัฒนากล้า ชาติไทยพัฒนา ที่ย้ำในเรื่องเดียวกัน คือ ไม่เอาพรรคก้าวไกล!!
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว นี่คือ “สูตรใหม่” ที่ปรับแต่งใหม่เพื่อผ่าทางตันของ “ขั้ว 8 พรรคเดิม” ที่มี พรรคก้าวไกล เป็นแกนนำ และมี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ และไปต่อไม่ได้ จากนั้นก็จำเป็นต้องปล่อยมือให้พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบ้าง และเส้นทางก็ต้องเลือกเดินในเส้นทางใหม่ นั่นคือดึงพรรคในขั้วรัฐบาลเดิมเข้ามาร่วม รวมไปถึง“สองลุง” คือ รวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐด้วย
หากสรุปให้เห็นภาพคร่าวๆ ในเบื้องต้นรัฐบาลผสมชุดใหม่ มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นแคนดิเดตนายกฯ มีภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนากล้า รวมทั้งพรรคในขั้ว 8 พรรคเดิมที่อาจเหลือ 2 พรรคประชาชาติ และ เสรีรวมไทย ซึ่งสูตรนี้ก็จะมี 8 พรรคเช่นเดิม แต่จะผลักพรรคก้าวไกลกับพรรคไทยสร้างไทย และพรรคเล็กอื่นๆ ไปเป็นฝ่ายค้าน
นั่นคือ ภาพของรัฐบาลใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย มี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งสูตรนี้ถือว่า “ผ่านโหวตฉลุย” อยู่แล้ว เพราะการันตีเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.เกิน 375 เสียงอยู่แล้ว และที่ผ่านมา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ย้ำให้ “ยอมรับความจริง”
“เราหนีข้อเท็จจริงไม่ได้ และเราได้นำแนวทางนี้พูดคุยใน 8 พรรคร่วมแล้ว ซึ่งเป็นวิธีการทำงาน ผมเชื่อวิธีการทำงานที่เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้ และหวังว่าทุกคนจะพยายามช่วยกัน” เขากล่าวระหว่างการแถลงร่วมกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หลังการหารือ ที่พรรคเพื่อไทย
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยจะสอนการเมืองก้าวไกลอย่างไร ที่จะต้องสงวนจุดต่างและแสวงหาจุดร่วม นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยคงไปสอนอะไรไม่ได้ “เพราะการเมืองของแต่ละคน จุดยืนไม่เหมือนกัน แต่แบบอย่างที่ผมทำการเมืองมา 20 ปีและคุณพีระพันธุ์ ทำการเมืองมา 20 กว่าปี ทุกอย่างจะกล่อมเกลาด้วยตัวมันเอง การเรียนรู้ในสิ่งที่สอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วไป”
แน่นอนว่า ในเชิงลึกจะเป็นการสลายตัวของ “พี่น้องสาม ป.” หรือไม่ก็ตาม คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะมีบทบาทอยู่ข้างหลัง ขณะเดียวกัน สูตรนี้ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร จะกลับไทย หรือไม่ หรือจะกลับเมื่อไหร่ ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว
แต่ที่ต้องจับตา ก็คือ กำลังเริ่มการเมืองในบริบทใหม่ ตามสถานการณ์ที่เป็นจริงนับจากนี้ นั่นคือ การเมืองจะแบ่งออกเป็น “สองขั้วใหม่” โดยขั้วหนึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ซึ่งอาจจะเรียกว่า “กลุ่มอนุรักษนิยมใหม่” ร่วมกับขั้วรัฐบาลเดิม ขณะที่อีกขั้วหนึ่ง มีพรรคก้าวไกล เป็นแกนนำ ที่อาจเรียกว่า “เสรีนิยมใหม่” ที่มีเป้าหมายมุ่งรื้อโครงสร้างประเทศ มีเจตนาล้มสถาบันพระมหากษัตริย์
และนี่คือ การเมืองนับจากนี้ไป และกำลังเข้าสู่ความเป็นจริงใหม่ ที่พรรคเพื่อไทย เป็นคู่แข่งอย่างชัดเจนกับพรรคก้าวไกล ที่เวลานี้มีแนวทางตรงข้ามกันแล้ว และแม้ว่าหลายคนอาจจะไม่เคยนึกเห็นภาพมาก่อน แต่ในความเป็นตรงหน้ากำลังเกิดขึ้น และปฏิเสธความจริงไม่ได้แล้ว !!