พปชร.หนีม็อบทะลุวัง เปิดที่ทำการพรรคแถลงด่วน ‘สันติ-ธรรมนัส’ เผย ผลเจรจา’เพื่อไทย’ ยืนกรานไม่เอาพรรคแตะม.112 ยันไม่ส่ง ‘ลุงป้อม’ ชิงนายกฯ ไม่หวั่นด้อมส้มบอกเป็นเรื่องธรรมชาติ ชี้ผู้นำคนที่ 30 ต้องนำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง
วันนี้ (23ก.ค.) จากนั้นเวลา 17.20 น. วันที่ 23 ก.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ได้เดินทางถึงที่ทำการพรรค โดยเจ้าหน้าที่ได้รีบเชิญให้สื่อมวลชนขึ้นไปที่ชั้น 5 ของที่ทำการพรรค เพื่อรอการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ รวมทั้งได้มีการปิดประตูโดยรอบพรรค และได้ประสานตำรวจจากสน.พหลโยธินให้เข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่บริเวณอาคารที่ทำการพรรค เนื่องจากมีรายงานว่ากลุ่มทะลุวังได้เคลื่อนย้ายจากพรรคเพื่อไทยเพื่อมากดดันพรรค
โดยร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคพปช. กล่าวว่า ขออภัยที่ต้องย้ายสถานที่ในการแถลงข่าว หลังจากที่เลขาธิการพรรคพปชร.และทีมงานได้หารือกับแกนนำพรรคเพื่อไทย โดยนายสันติจะเป็นผู้แถลงผลการหารือ
ด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพปชร. แถลงผลการหารือร่วมกับพรรคเพื่อไทย ว่า วันนี้ถือโอกาสเรียนสื่อมวลชนทุกท่านรักพรรคพปชร.ได้รับเกียรติจากพรรคเพื่อไทย ที่เชิญ พรรค ไปพูดคุย โดยมีตน ร.อ.ธรรมนัสและนายไผ่ ลิกค์ เป็นการรับเชิญจากพรรคเพื่อไทย ในการพูดคุย แก้ปัญหาวิกฤต ของการตั้งรัฐบาลบริหารบ้านเมือง เนื่องจากหลังจากเลือกตั้งเป็นเวลาถึง 2 เดือนกว่า ยังมีอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อมาบริหารบ้านเมือง ซึ่งถ้ามันช้ามากจะทำให้เกิดปัญหาหลายด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงต่างๆ ทั้งนี้ ต้องขอบคุณพรรคเพื่อไทย หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และรองหัวหน้าพรรคของพรรคเพื่อไทย ที่ได้เชิญเราไปปรึกษาหารือ ว่าจะแก้ปัญหาวิกฤตของบ้านเมืองในครั้งนี้อย่างไรเพื่อบ้านเมือง ดังนั้นตน ร.อ.ธรรมนัสและนายไผ่ ลิกค์ ได้รับการมอบหมายจากพรรคพปชร.ในการพูดคุย ซึ่งการพูดคุยในวันเดียวกันนี้ เราได้รับความรู้สึกที่ดี และปรึกษากันอย่างตรงไปตรงมา ทางพรรคพปชร.ยืนยันว่าเรายึดมั่น ในระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขอย่างแน่วแน่ และเพื่อให้ชาติมีความมั่นคง ประชาชนมีความผาสุก อยู่ดีกินดี รวมถึงการพัฒนาในเรื่องของเศรษฐกิจชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองด้วยระบบประชาธิปไตย
นายสันติ กล่าวต่อว่า ซึ่งในหลักการดังกล่าว พรรคพปชร.ได้แจ้งทางพรรคเพื่อไทย ว่าพรรคที่เราจะร่วมทำงานได้นั้นจะต้องเป็นพรรคที่ไม่แตะหรือมีแนวคิดที่จะแก้ไขมาตรา 112 หากพรรคใดมีแนวคิดดังกล่าว ทางพรรคเราไม่สามารถที่จะร่วมทำงานหรือบริหารบ้านเมืองด้วยได้ จึงได้ยืนยันกับทางพรรคเพื่อไทยไปว่าตรงนี้ ถือเป็นหลักการสำคัญของพรรคพปชร. ที่เราจะปฏิเสธการทำงานกับพรรคก้าวไกลที่มีนโยบายจะแก้ไขมาตรา 112 เพราะเราอยู่ในระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และในรัฐธรรมนูญ ได้เขียนอยู่แล้วว่า เรามีหน้าที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น การที่จะไปแก้ไขมาตรา 112 นั้นเป็นเรื่องที่พรรคพปชร.รับไม่ได้ และเราแสดงความเจตจำนงที่แน่วแน่ของเราแล้ว
เมื่อถามว่าการพูดคุยกันวันนี้ไม่เกี่ยวกับการร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ นายสันติ กล่าวว่า วันนี้เป็นการพูดคุยกัน ไปแสดงเจตจำนงว่าเราคิดอย่างไรในการรีบตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อบ้านเมืองหลังจากนั้นจึงจะมีการพูดคุยในขั้นตอนถัดไป ด้านร.อ. ธรรมนัส กล่าวเสริม ว่า วันนี้เป็นการหารือเพื่อหาทางออกจากวิกฤติไม่ใช่เป็นการหารือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ย้ำว่าไม่มีการเชิญไปจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน
เมื่อถามต่อว่า หมายความว่าในอนาคตหากมีการจัดตั้งรัฐบาลอาจจะไม่มีพรรคพปชร. ก็ได้ใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า พรรคพปชร.มีนโยบาย แนวทางและอุดมการณ์ทางการเมือง ไม่เหมือนบางพรรค ดังนั้นการทำงานร่วมกันเรามองเห็นปัญหาในอนาคต ซึ่งกรรมการบริหารพรรค ได้ประชุมและมีจุดยืนชัดเจนว่า หากจะต้องร่วมรัฐบาลกับบางพรรค ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน เราขอไม่ร่วมดีกว่า ตรงนี้ชัดเจน
เมื่อถามว่าวันนี้เป้าประสงค์หลักของพรรคเพื่อไทยคือต้องการให้พรรคพปชร. สนับสนุนนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย การขอคะแนนเสียงหนุน ร.อ. ธรรมนัสกล่าวว่าวันนี้ที่มีการพูดคุยกันทางเพื่อไทยได้พูดชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยเชิญทุกพรรคในจำนวน 188 เสียง เขาเชิญทุกพรรคไปหารือเพื่อหาทางออกให้กับวิกฤติบ้านเมือง
เมื่อถามว่าทางออกที่เสนอพรรคเพื่อไทยไปมี ข้อเสนออย่างไรกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ว่าทางออกควรจะเป็นอย่างไร นายสันติ กล่าวว่า เราได้แจ้งแนวทางของเราไปแล้วว่ากากพรรคใดที่มีแนวคิดว่าจะแก้ไขมาตรา 112 เราก็คงร่วมทำงานด้วยไม่ได้ ซึ่ฝพรรคเพื่อไทยจะได้นำไปคิดไตร่ตรองและวางแผน เพราะขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้แจ้งมาว่าได้รับฉันทานุมัติจาก 8 พรรค เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อมาพูดคุยกันในแต่ละพรรค รวมถึงพูดคุยกับสว. หลังจากนั้นพรรคเพื่อไทยก็จะมาคิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรเพื่อแก้ปัญหาให้พ้นวิกฤตของบ้านเมืองในครั้งนี้ได้ แต่ประเทศจะขาดรัฐบาลในการบริหารเป็นเวลานานไม่ได้ เพราะผ่านมา 2 เดือน กว่าแล้วจึงต้องรีบและความจริงก็เป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองทุกพรรค สส.และสว. ทุกคนที่ต้องช่วยกัน เร่งรัดให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ เพื่อบริหารประเทศ เพราะถึงอย่างไรเราก็จะต้องมีหัวหน้ารัฐบาลในการติดต่อประสานงานกับทั่วโลก ประเทศไทยไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวประเทศเดียว เราจำเป็นต้องมีรัฐบาลเพื่อให้ต่างชาติได้เห็นถึงความมั่นคงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการบริหารประเทศ นักลงทุนจะได้กล้าเข้ามาลงทุนในบ้านเรา และจะได้รู้นโยบายต่างๆของรัฐบาลดังนั้นจึงเป็น หน้าที่ของพวกเราที่จะต้องสนับสนุนจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องประชาชน
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยตอบหรือไม่ว่าจะต้องได้นายกฯในวันที่ 27 ก.ค. นายสันติ กล่าวว่า
พรรคเพื่อไทย ก็คงมีความตั้งใจอย่างนั้น จึงมีการเชิญขั้วพรรคการเมืองเก่ามาร่วมหารือ ว่าแต่ละพรรคมีแนวคิดอย่างไร และมีข้อจำกัดอย่างไรรวมถึงสว.ด้วย เพื่อที่จะได้ไปหาแนวทาง เพื่อให้พ้นวิกฤตในครั้งนี้
เมื่อถามว่าสรุป ถ้าจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคก้าวไกล พรรคพปชร.ก็พร้อมที่จะร่วมรัฐบาลเลยใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า หลักการของพรรคพปชร.มีจุดยืนว่าเราจะก้าวข้ามความขัดแย้ง ดังนั้นการ จะร่วมรัฐบาลกับใครหากมองเห็นว่าจะเกิดความแตกแยกในสังคมเราจะไม่ขอร่วมด้วย ตรงนี้ชัดเจน
เมื่อถามว่าเรื่องดังกล่าวพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณหัวหน้าพรรคพปชร.เห็นด้วยใช่หรือไม่ที่ไปพูดคุยกับพรรคเพื่อไทย ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เรื่องนี้เรามีการประชุมกรรมการบริหารพรรค เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว และมีความชัดเจนว่าเราจะต้องก้าวข้ามความขัดแย้งบนพื้นฐานอะไรบ้าง
เมื่อถามว่าหากพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อนายเศรษฐาแล้วไม่สามารถผ่านการเห็นชอบจากส.ว. ได้อาจมีการเสนอชื่อพลเอกประวิตร ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ การที่เราจะจัดตั้งรัฐบาลจะต้องมีจำนวนสมาชิกรัฐสภาสนับสนุน เกินกึ่งหนึ่ง หากเสียงไม่พอเราไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะมันจะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมมากกว่า
เมื่อถามว่า บรรยากาศการจับขั้วรัฐบาลมักจะมีข่าวว่ามีการเสนอชื่อพล.อ.ประวิตร จะชี้แจงอย่างไร ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เรามีมติชัดเจนว่าเราจะไม่เสนอชื่อหัวหน้าพรรคหาเสียงสนับสนุนต่ำกว่าต่ำกว่า 250 เสียงตรงนี้ชัดเจน และเป็นนโยบายของพลเอกประวิตรด้วย
เมื่อถามว่าทำไมจึงมีกระแสข่าวว่าพล.อ.ประวิตรจะลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อเปิดทางเป็นพรรคไม่มีลุง ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตรงนี้เป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น พล.อ.ประวิตรยังเป็นหัวหน้าพรรค และถือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองการที่จะการที่จะรับตำแหน่งอะไรในอนาคตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งท่านจะทำอะไรก็คงจะนึกถึงเกียรติประวัติที่ท่านสร้างมา ส่วนวิสัยทัศน์ของคนที่จะเป็นนายกฯคนที่ 30 จะต้องเป็นแบบไหน ร.อ.ธรรมนัส กะว่าคนที่จะมาเป็นนายกฯคนที่ 30 ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะเป็นผู้นำพา บ้านเมืองก้าวข้ามความขัดแย้งปัญหาทุกวันนี้ เพราะปัญหาทุกวันนี้ที่ถกเถียงกันอยู่เป็นเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์กับ ประชาชน ที่เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แต่นักการเมืองในสภาฯกำลังเถียงอะไรกันอยู่ ดังนั้นคนที่จะมาเป็นผู้นำ ของประเทศชาติจะต้องนำพาประเทศชาติให้รอดพ้น เราผ่านวิกฤติโควิดมาแล้วตอนนี้กำลังเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะแก้ปัญหาวิกฤติให้รอดพ้น โดยเฉพาะปากท้องของประชาชนดังนั้นนายกฯคนต่อไปจะต้องเป็นบุคคลที่มีความพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ปัญหาความแตกแยกในสังคม การนำพาเศรษฐกิจให้รอดถือเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อถามว่าไม่ห่วงปัญหากลุ่มที่ออกมาต่อต้าน และด้อมส้ม จนทำให้เกิดความวุ่นวายในประเทศใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า มันเป็นเรื่องปกติในการจัดตั้งรัฐบาลก็มักจะมีปัญหาแบบนี้แต่เมื่อเข้าสู่การบริหารบ้านเมืองไปแล้วสิ่งสำคัญคือคนที่จะมาเป็นผู้นำจะต้องพิสูจน์ฝีมือประเทศให้คนไทยทั้งประเทศได้เห็นว่าสามารถนำพาประเทศไปได้ ทั้งการแก้ปัญหาวิกฤติและเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ.