xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ สนับสนุนสตาร์ทอัปไทย หลังผงาดเวทีโลกขึ้นอันดับ 4 อาเซียน และอันดับที่ 52 ของโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ สนับสนุนสตาร์ทอัปไทย จนเห็นผลจากการจัดอันดับดัชนีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัปโลกประจำปี 2566 ไทยที่ 4 อาเซียน และขยับสูงขึ้นกว่าปีก่อนเป็นอันดับที่ 52 ของโลก

วันนี้ (21 มิ.ย.) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับดัชนีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัปโลกประจำปี 2566 (Global Startup Ecosystem Index 2023) อยู่ในอันดับ 52 ของโลก อันดับที่ 4 ของอาเซียน โดยผลการจัดอันดับขยับขึ้นสูงกว่าปี 2565

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เว็บไซต์ StartupBlink ศูนย์กลางข้อมูลด้านระบบนิเวศสตาร์ทอัปทั่วโลก ได้จัดอันดับ 100 ประเทศ และ 1,000 เมือง ที่มีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัปที่ดีที่สุดของโลกตั้งแต่ปี 2560 โดยผลการจัดอันดับ Global Startup Ecosystem Index 2023 ในปีนี้ประเทศไทยได้ลำดับที่ 52 ของประเทศที่มีระบบนิเวศทางสตาร์ทอัปที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ ถือเป็นอันดับ 4 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ (อันดับ 6) อินโดนีเซีย (อันดับ 41) และมาเลเซีย (อันดับ 43)

ในส่วนของการจัดอันดับ 1,000 เมือง ที่มีระบบนิเวศสตาร์ทอัปที่ดีที่สุดในโลก กรุงเทพฯ สามารถขยับขึ้นมาจากปีก่อนถึง 25 อันดับ มาเป็นอันดับที่ 74 ของโลก และเมื่อเทียบระหว่างเมืองในอาเซียน ในการจัดลำดับเฉพาะเมืองในเอเชีย กรุงเทพฯ เป็นลำดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์ (อันดับ 20) จาการ์ตา (อันดับ 29) โดยสามารถรักษาปัจจัยด้านอุตสาหกรรมการขนส่งที่อันดับที่ 43 ของโลกไว้ได้ นอกจากนี้ ยังมีอีก 3 จังหวัดของไทยที่ติดอันดับด้วย ได้แก่ เชียงใหม่ (อันดับ 591) ภูเก็ต (อันดับ 640) และพัทยา (อันดับที่ 849)

ทั้งนี้ StartupBlink ระบุว่า ประเทศไทยได้พัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้นตลอด 40 ปี ที่ผ่านมา ผ่านการปฏิรูป รวมทั้งสร้างนวัตกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยไทยไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังสามารถดึงดูดกลุ่ม Digital Nomad เข้ามาด้วย โดยเฉพาะในเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ นอกจากนี้ การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ภาครัฐให้ความสนใจกับการพัฒนาระบบนิเวศของสตาร์ทอัปมากขึ้น ในฐานะหัวใจสำคัญของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย รวมถึงมีนโยบายดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาทำธุรกิจและลงทุนในไทย ผ่านโครงการ Elite Visa Smart Visa และ Long-Term Residents Visa รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง สามารถดึงดูดและช่วยสร้างระบบนิเวศที่ดีต่อการลงทุนจากต่างชาติได้

“นายกรัฐมนตรียินดีกับความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญ ดำเนินการสนับสนุน ช่วยเหลือ ธุรกิจสตาร์ทอัป และ SMEs มาอย่างต่อเนื่อง มีส่วนช่วยพัฒนาระบบนิเวศและรองรับสตาร์ทอัพ รวมถึงดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติ ให้สามารถดำเนินการด้านธุรกิจและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเห็นเป็นความสำเร็จด้วยการจัดอันดับดังกล่าว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่น สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน แสวงหาแนวทางพัฒนาระบบนิเวศให้ทันสมัย และเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของสตาร์ทอัปไทยมากยิ่งขึ้น” นายอนุชา กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น