เมืองไทย 360 องศา
สังเกตหรือไม่ว่านับตั้งแต่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง ได้เสียงมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง เมื่อกลางเดือนที่แล้ว มาจนถึงวันนี้ จะเห็นว่า พวกเขากำลังถูกไล่ต้อนมาเรื่อยๆ แม้ว่าอาจยังไม่เห็นผลชัดเจนนัก เพราะฝ่ายที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล และตัว นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯ ยัง “ป๊อบปูลาร์” ยังมี “เสียงกรี๊ด” ดังลั่น ไม่ว่าจะเดินสายไปที่ไหนก็ตาม
อย่างไรก็ดี ในความยอดนิยมดังกล่าวนั้น อีกด้านหนึ่งมันก็มาพร้อมกับการตั้งคำถามจากอีกฝ่าย จากเคยกระจัดกระจายกันออกไป กลายเป็นว่า เริ่มกลับมารวมกลุ่มเป็นเอกภาพมากขึ้นกว่าเดิม บางคนที่ “ไม่เอาลุง” หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เวลานี้ก็หันมาไล่ถล่ม นายพิธา และพรรคก้าวไกล อย่างดุเดือดเข้มข้นกว่าเดิม
ขณะที่หากโฟกัสไปที่พรรคก้าวไกล จะพบว่า พวกเขาเคยเป็นฝ่ายรุกไล่ ตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ นับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 เป็นต้นมา มีการเคลื่อนไหวคู่ขนานกันไป ทั้งในและนอกสภา นอกสภา ก็มี “ขบวนการสามนิ้ว” ที่ในช่วงสามสี่ปีก่อน มีการก่อม็อบเฟื่องฟูมาก ขณะที่การเคลื่อนไหวในสภาของพรรคก้าวไกล ก็ถือว่าโดดเด่นจนเรียกว่า แทบจะบดบังบทบาทของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในเวลานั้นไปเลย
การเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกล ต้องยอมรับว่า สามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่ บางเรื่องก็ต้องยอมรับว่า ได้สร้างความตื่นตัวในเรื่องการตรวจสอบการทุจริตในวงราชการ ระบบเส้นสาย ระบบ “ส่วย” เล่นพรรค เล่นพวก ที่เคยสร้างความรำคาญและปวดใจให้กับคนไทยมานานแล้ว ซึ่งเป็นการทำการเมืองแบบใหม่ ในแบบสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนไทย ไม่เฉพาะกับบรรดาเด็กๆ วัยรุ่นเท่านั้น ยังรวมไปถึงบรรดากลุ่มคนวัยทำงาน ชนชั้นกลาง จนแทบทุกวัย ซึ่งสะท้อนผ่านคะแนนเสียงที่ได้รับจำนวนกว่า 14 ล้านเสียง
หลายคนอาจจะบอกว่า ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากกระแส “เบื่อลุง” รวมไปถึง “เบื่อทักษิณ” เบื่อเพื่อไทยที่ไม่ยอมชัดเจนในเรื่อง “ดีลลับ” อะไรนั่น มันก็อาจจะใช่ แต่ด้วยจำนวนกว่า 14 ล้านเสียง มันก็เป็นคำตอบให้เห็นชัดแล้วว่ามันมาจากทุกอาชีพ และทุกวัย
อย่างไรก็ดี ผลจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ออกมา และกลายเป็นว่า พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย อย่างน้อยเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ที่เคยได้รับเลือกในพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 80 ที่นั่ง ก้าวกระโดดขึ้นมาถึง 151 ที่นั่ง จนเหนือความคาดหมาย และ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก็กลายเป็นแคนดิเดตนายกฯ และเรียกตัวเองว่า “ว่าที่นายกฯ” ในตอนนี้
แต่ขณะเดียวกัน หลังการเลือกตั้งด้วยนโยบายที่หลายเรื่องถูกมองว่า “สุดโต่ง” ที่สำคัญไปกระทบกับกลุ่มทุน และระบบราชการ แม้ว่าจะมีแนวร่วมจำนวนมาก แต่อีกด้านหนึ่งมีบางเรื่องที่ทำให้มีพวกเขา “เดินหน้าต่อไปไม่ได้” หรืออาจส่งผลกระทบในแบบพลิกกลับไปเลยก็ได้ นั่นคือ เรื่อง “มาตรา 112” รวมไปถึงภาพการเคลื่อนไหวในอดีตกำลังจะกลับ “หลอกหลอน” เช่น กับ “ม็อบสามนิ้ว” หรือแม้แต่แนวทาง “ดับไฟใต้” ที่ไปเชื่อมโยงกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนใต้ ที่กำลังกลายเป็นเรื่องคุกรุ่นในใจคนไทยทั่วประเทศเวลานี้
ที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวที่ถูกมองว่าสอดประสานกับกลุ่ม “สามนิ้ว” ที่มีเป้าหมายเรื่อง มาตรา 112 ในตอนนั้น หลายคนแม้ว่าจะมองเห็น แต่ก็คงไม่ได้ตระหนักอะไรมากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าบทบาทของพวกเขายังทำแบบอ้อมแอ้ม อาจจะมีบางคนที่เคลื่อนไหวชัดเจนก็ตาม แต่บางคนที่สุดโต่งการเคลื่อนไหวในช่วงหลังก็เริ่มฝ่อลงไป หลายคนถูกดำเนินคดีพ่วงเป็นหางว่าว
แต่มาวันนี้ วันที่พรรคเพื่อไทยกำลังจัดตั้งรัฐบาล สังคมเริ่มรับรู้ถึงภัยคุกคามต่อสถาบันมากขึ้น ประกอบกับหลายเรื่องราวกำลังประดังกันเข้ามา ทั้งที่เป็นเรื่องที่ “ขุดบ่อล่อ” เอาไว้ หรือ เรื่องที่พวกเขา “พลาด” และเดินเข้าทางเองก็ตาม รวมทั้งหลายเรื่อง ที่เคยเคลื่อนไหวในอดีต เช่น พวกม็อบสามนิ้ว การเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับนักกิจกรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ล่าสุดออกมาสื่อให้เห็นถึงการ “ทำประชามติปัตตานี” ที่กำลังเริ่มโดน “กระแสตีกลับ” ถูกรุมโจมตีวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง จากคนไทยทั่วประเทศ
หรือแม้แต่กรณีของ “น้องหยก” เด็กนักเรียนหญิงอายุ 15 ปี ที่ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 ที่เคยเคลื่อนไหวกับ “ม็อบสามนิ้ว” ล่าสุดกำลังกลายเรื่องที่ถูกพูดถึง วิพากษ์วิจารณ์จากสังคมในวงกว้างถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ลักษณะไม่เคารพกฎระเบียบของสถาบันการศึกษา ที่นักเรียนคนอื่นยอมรับ เรื่องดังกล่าวนี้ แม้แต่ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ “คุณปลื้ม” พิธีกรชื่อดัง ที่ถือว่าเป็นนักเสรีนิยมคนหนึ่ง ยังรับไม่ได้กับพฤติกรรมของ “น้องหยก” และสนับสนุนให้โรงเรียนรักษากฎระเบียบ เอาไว้ต่อไป และเห็นว่า สิทธิเสรีภาพยังอยู่ภายใต้กฎหมายที่กำหนด
“นี่เรียกว่า สังคมที่มีกฎระเบียบ ในกรณีนี้สถาบันการศึกษาก็มีกฎของสถาบัน อยู่ในโรงเรียนก็ต้องมีกฎระเบียบของสถาบันการศึกษานั้นๆ” ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าว ซึ่งทำให้มีคนเข้ามาแสดงความเห็นด้วยจำนวนมาก และกลายเป็นว่า กระแสกำลังเริ่มเปลี่ยนเป็นตรงกันข้ามมากขึ้น และหากสังเกต จะไม่เห็นบรรดานักเคลื่อนไหว นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยที่มักจะเห็นอกเห็นใจม็อบสามนิ้ว ในกรณีนี้กลับ “นิ่งเงียบ”
เมื่อวกกลับมาที่กรณีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคก้าวไกล กำลังถูกตรวจสอบเรื่อง “ถือหุ้นสื่อ” ซึ่งในตอนแรกมีการโหมกระพือ ว่า มีความพยายามขัดขา มีขบวนการ “สมคบคิด” เพื่อไม่ให้เขาได้เป็นนายกฯ ขัดขวางไม่ให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เพื่อไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมเพื่อความเท่าเทียม เป็นการขัดขวางขบวนการประชาธิปไตยไปโน่น แรกๆ อาจจะฟังขึ้น แต่เมื่อนานไป และมีการอธิบายซ้ำๆ กันจนเข้าใจมากขึ้นว่า “ทุกคนต้องเท่าเทียมทางกฎหมาย” ที่สำคัญเขาถือหุ้นมาตั้งแต่ ปี 51 ผ่านมาสิบกว่าปี ทำไมไม่มีการแก้ไขให้ครบถ้วน เพราะกฎหมายห้ามถือหุ้นสื่อ แม้ถือเพียง “หนึ่งหุ้น” ก็ผิด
แน่นอนว่า เรื่องนี้อาจสงสัยได้ว่ามีขบวนการ “สมคบคิด” จริงหรือไม่ ไม่รู้ แต่คำถามก็คือ ทำไมไม่แก้ไขให้ถูกต้องตั้งแต่แรก เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ปล่อยไว้ทำไมตั้งเกือบยี่สิบปี
เอาเป็นว่านาทีนี้ ทั้ง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ พรรคก้าวไกล หลายเรื่องราวกำลังประดังเข้าใส่มากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่เคยเป็นฝ่ายรุกคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่เวลานี้เมื่อกำลังจะเปลี่ยนสถานะใหม่ ทุกอย่างกำลังกลายเป็นเป้านิ่ง และเริ่ม “ตั้งรับ” มากขึ้น นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ยังโดนขนาดนี้ ถึงตอนนั้นจะหนักหนาขนาดไหน ลองหลับตานึกภาพเอาเอง !!