“วิษณุ” แจงไทม์ไลน์ แก้ไข “พ.ร.บ.อุ้มหาย” ประกาศใช้แล้ว 22 ก.พ. ย้ำ ไม่ขัดแย้งรัฐสภา ทุกหน่วยงานพร้อมดำเนินการตาม กม.
วันนี้ (13 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในที่ประชุมมีการหารือถึงพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการซ้อมทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหาย โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และรอบังคับใช้ 4 เดือนนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 โดยภายหลังที่มีการบังคับใช้ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 แต่เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีรายงานเรื่องการให้ถ่ายวิดีโอ และการสอบสวนจนจบคดีมีปัญหา รวมถึงงบประมาณที่ขาดอุปกรณ์ การจัดหาที่อาจจะล่าช้า ขาดคลังเก็บข้อมูล ขาดการพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ดังนั้น ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 ก่อนที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวจะมีการบังคับใช้ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ จึงได้มีการออกพระราชกำหนดขยายเวลา มาตรา 22-25 ไปถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2566
ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎรยังไม่ได้ทันที่จะพิจารณา ก็มีมติเห็นชอบให้ ส.ส.จำนวนหนึ่งส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยก่อน และต่อมาวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 ศาลมีมติ 8 ต่อ 1 ว่าการออก พ.ร.ก.ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 ในส่วนนี้ผลทางกฎหมาย พ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงกลับไปมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 แต่สิ่งใดที่ทำไปตามกฎหมายระหว่างนั้นก็ถือว่าเป็นการสมบูรณ์แล้ว ฉะนั้น ความรับผิดตามกฎหมายต่างๆ ก็ถือว่าไม่มีในเรื่องการรับผิดใดๆ ที่จะต้องดำเนินการ
นายอนุชา กล่าวต่อว่า ในเรื่องการเมืองที่มีหลายท่านพูดถึงว่าสภาไม่เห็นชอบ พ.ร.ก.ที่รัฐบาลได้ส่งไปนั้น อาจต้องมีการรับผิดชอบในภาวะปกติ แต่ในปัจจุบันการยุบสภาได้มีผลเกิดขึ้นแล้ว ครม.ชุดปัจจุบันอยู่ในช่วงรอฟอร์มรัฐบาลจัดตั้ง ครม.ชุดใหม่ จึงถือว่าไม่ได้เป็นการขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติแต่อย่างใด และไม่ใช่กรณีรัฐสภาไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้ คือ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำแนะนำให้เร่งปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งมีการประชุมคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.แล้ว เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาใช้เวลา 3 เดือน หน่วยงานต่างๆ ได้เตรียมดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ พ.ร.บ.แล้วกว่า 60% ฉะนั้น การดำเนินการติดตามหน่วยงานต่างๆ ทั้ง ตำรวจ มหาดไทย ฝ่ายปกครอง กลาโหม และอัยการ ขณะนั้นพร้อมที่จะปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย ขณะที่งบประมาณก็พร้อมที่จะไปจัดซื้อจัดหาแล้ว จากนี้ไปก็จะเร่งดำเนินการเพื่อให้การดำเนินงานต่างๆ ตามกฎหมายที่ได้มีการบังคับใช้แล้ว สามารถดำเนินการได้โดยไม่มีอุปสรรค