xs
xsm
sm
md
lg

“จตุพร” ฟันเปรี้ยง “ก้าวไกล” ชวดรัฐบาล “พิธา” เจอด่านหินสองชั้น แห้วนายกฯ “เพื่อไทย” มีทางเลือก จับมือ “บิ๊กป้อม” ผ่าทางตัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ 8 พรรคการเมือง ร่วมลงนาม MOU จัดตั้งรัฐบาล จากแฟ้ม
“จตุพร” ชี้เปรี้ยง “ส.ว.” ไม่หนุน - “พิธา” ถือหุ้นสื่อ “ตัวแปร” ที่จะทำให้ “ก้าวไกล” ชวดรัฐบาล ขณะ “พิธา” ก็เจอด่านหินถึงสองชั้น สถานการณ์กำลังเข้าสู่ทางตัน เชื่อ “เพื่อไทย” จับมือข้ามฟาก ให้ “บิ๊กป้อม” นั่งนายกฯ รับมือความวุ่นวาย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ลุกลามใหญ่โต?” โดยวิเคราะห์ตัวแปรสถานการณ์ความวุ่นวาย ว่า

ขณะนี้การตั้งรัฐบาล 312 เสียง ส่อลุกลามบานปลายขึ้น โดยมีปัจจัยการถือหุ้นไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล และการชิงตำแหน่งประธานสภา แล้วผสมด้วยเงื่อนไขสำคัญ ส.ว.ไม่หนุนฝ่าย 312 เสียง

นอกจากนี้ ยังเห็นว่า จะขยายผลกดดันให้พรรคเพื่อไทยแยกขั้ว ข้ามฟากไปจับมือตั้งรัฐบาลกับฝ่าย 188 เสียง ขณะที่การลุกฮือต่อต้านของประชาชนยากหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น ถ้ารัฐบาลใหม่ควบคุมความสงบไม่ได้ โอกาสจะจบลงท้ายด้วยทหารยึดอำนาจย่อมมีความเป็นไปได้สูง

นายจตุพร ประเมินว่า ในปัจจัยคุณสมบัติของนายพิธานั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ได้ส่งสัญญาณนำร่องดัวยคำถามถึงคำร้องการถือหุ้นไอทีวี มี 3 ประเด็นหรือไม่ คือ คุณสมบัติ ส.ส. คุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี และการรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. การพูดชี้ประเด็นเช่นนี้ เท่ากับสื่อแนะคำร้องให้จัดการนายพิธา ซึ่ง นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคพลังประรัฐ ได้ยื่นคำร้องครบถ้วนตามที่นายวิษณุ ถามไว้

อย่างไรก็ตาม ประเด็นทั้ง 3 กรณีนี้ นายวิษณุ เห็นว่า อาจทำให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ หรือต้องเลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศ แต่ปัญหาคือ จะเลือกตั้งใหม่เฉพาะหรือเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด ดังนั้น ขณะนี้ได้แสดงถึงเกมหลายเกมจะออกมาจัดการรัฐบาล 312 เสียง แม้ถ้าศาล รธน.วินิจฉัยคุณสมบัติของนายพิธา ไม่ขัด รธน. แต่ก็ต้องเจอกับดัก 750 เสียง (ส.ส. 500 บวก ส.ว. 250) ในการโหวตเลือกนายกฯ

นายจตุพร กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ย่อมเกิดสมการการเมือง คือ แบบแรกเสียง 312 จาก 8 พรรคตั้งรัฐบาล และอีกฝ่ายหนึ่งมี 188 เสียง ไม่มารวมกับพรรคก้าวไกล ดังนั้น ฝ่าย 312 เสียงต้องไปอาศัยเสียง ส.ว. ที่ให้กำเนิดโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

“มีข่าวแบบยาหอมว่า จะล็อบบี้เสียง ส.ว.มาช่วยพรรคก้าวไกลได้สำเร็จ นั่นเป็นคำพูดแบบมองโลกสวยงาม แต่ความสำเร็จแท้จริงนั้น ต้องไปหว่านล้อมให้ พล.อ.ประยุทธ์ เห็นดีเห็นชอบซึ่งคงยาก ด้วยเหตุนี้ การหาอีก 64 เสียง ไม่มีทางเป็นไปได้ และปาฏิหาริย์เรื่องนี้ไม่มีจริง”

นายจตุพร กล่าวว่า ในแบบที่สอง เป็นการเร่งรีบของพรรคเพื่อไทย จะเอาตำแหน่งประธานสภา มาไว้ในมือให้ได้ เนื่องจากเหตุคุณสมบัติของนายพิธา จะลามถึงศาล รธน. สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ดังนั้น แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย จะมีโอกาสได้โหวตในที่ประชุมรัฐสภา ไม่เพียงเท่านั้น พรรคเพื่อไทยอาจใช้สถานการณ์ถูกปิดล้อมแหวกออกไปตั้งรัฐบาลใหม่กับฝ่าย 188 เสียง และดึง ส.ว.มาร่วมหนุน ความน่าจะเป็นกับการตั้งรัฐบาลจะมีความสำเร็จ จึงมีแนวโน้มสูงยิ่ง

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขการแหวกวงล้อมจากเสียง 312 เสียงนั้น ส่วนสำคัญเกิดจากมีพรรคก้าวไกลเป็นอุปสรรค เนื่องจาก 8 พรรคจับมือกันแน่น เพื่อตั้งรัฐบาลภายใต้ 312 เสียง และมีแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่ย่อมขาดเสียงหนุนจาก ส.ว.เช่นกัน ดังนั้น การสลัดพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน แล้วเพื่อไทยข้ามขั้วไปตั้งรัฐบาลกับฝ่าย 188 เสียง จึงเป็นหนทางไปสู่หลักประกันดึงเสียง ส.ว.มาครบ 376 เสียงได้สำเร็จ

“ถ้าพรรคก้าวไกลยังร่วมรัฐบาลด้วยแล้ว ใน 188 เสียง ก็ไม่อาจมาบวกเพิ่มได้ เพราะพรรคภูมิใจไทย และพรรคสองลุง (ประวิตร-ประยุทธ์) ไม่เอาพรรคก้าวไกล แต่ถ้าเพื่อไทยข้ามห้วยไปตั้งรัฐบาลกับ 188 เสียง อาจมั่นใจว่า มีหลักประกันจาก ส.ว.มาโหวตหนุนด้วย”

นายจตุพร กล่าวว่า ในสถานการณ์พรรคเพื่อไทยข้ามฝั่งไปจับมือกับ 188 เสียงตั้งรัฐบาลนั้น แม้อาจหลีกหนีข้อครหาหักหลังเพื่อน แต่ต้องปัดตำแหน่งนายกฯ ทิ้งไป เพราะไม่ต้องการให้แคนดิเดตนายกฯ ทั้ง อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หรือ นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องเผชิญแรงต่อต้านของมวลชนที่วุ่นวายเหมือนกองไฟร้อนแรงลุกโหมลามเมือง

ภาพ นายจตุพร พรหมพันธุ์
“ดังนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (แคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ) มีโอกาสได้รับเสียงสนับสนุนให้เป็นนายกฯ มารับมือกับความวุ่นวายที่ส่อจะเกิดขึ้นรุนแรง หากรับมือไม่ได้ ก็มี พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมอยู่ เพื่อมาสร้างความสงบ ถึงที่สุดหากยังรับมือไม่ได้อีก ก็คงถึงขั้นสถานการณ์ลากไปสู่โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง (ทหารยึดอำนาจ) ตามมา”

นายจตุพร เชื่อว่า พล.อ.ประวิตร จะเป็นตัวเลือกแคนดิเดตนายกฯ ให้รัฐสภาโหวตเป็นนายกฯ คนต่อไป อีกทั้งยังต้องประเมินผลการพิจารณาคุณสมบัติ ส.ส.ของนายพิธาด้วยว่า จะลามไปกระทบถึง ส.ส. 151 คนของพรรคก้าวไกลกลายเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งโดยมิชอบ รธน.หรือไม่ เพราะจะแสดงถึงการเลือกตั้งใหม่ใน 112 เขต หรือทั้งประเทศ ต้องติดตามกันด้วยความระทึก

ดังนั้น กระดานการเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ และการลุกฮือของประชาชนก็หนีไม่พ้นแน่นอน แต่หลังจากลุกฮือแล้วจะมีผู้เฝ้ารอสถานการณ์ที่มีความละเอียดอ่อนอย่างมากอยู่ โดยในช่วงเดือน มิ.ย.นี้จะเห็นการเร่งรับรอง ส.ส.อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สอดคล้องกับคดีของนายพิธา ที่จะไปศาล รธน. พร้อมเกิดเงื่อนไขการเปิดประชุมสภา ซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดนี้จะนำพาไปสู่อะไรจึงต้องคิดอย่างจริงจัง และคงไม่ใช่สถานการณ์ในแบบโลกสวยแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสถานการณ์เกือบ 2 เดือนนี้ การรับรอง ส.ส.ต้องเสร็จสิ้นก่อน 13 ก.ค.นี้ พร้อมทั้งเชื่อว่า อาฟเตอร์ช็อกทางการเมืองต่างๆ จะลามเกิดขึ้นเร็วมาก ดังนั้น การวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ของคน ซึ่งไม่ได้อยู่หรือสังกัดพรรคการเมืองย่อมเห็นปรากฏการณ์ได้รอบด้านตามข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่ของแต่ละฝ่าย สิ่งสำคัญ ตนไม่ได้ปรุงแต่งความเห็นเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

“ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า พรรคก้าวไกลอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะได้เป็นรัฐบาล และโอกาสรอดของนายพิธา ยิ่งยากที่สุดด้วย แต่จะลามไปถึง ส.ส.ที่ได้รับเลือกทั้ง 151 คน และคนที่ไม่ได้รับเลือกตั้งของพรรคก้าวไกลด้วยหรือไม่ ดังนั้น ยังต้องสู้กันอีก เนื่องจากเงื่อนไขของนายพิธา เป็นคนละกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (ถูกยุบพรรค) ที่พ้นสภาพ ส.ส.กรณีถือหุ้นสื่อ ดังนั้น นายพิธา จำต้องกังวลอย่างยิ่ง ไม่ใช่พูดไม่กังวล”

รวมทั้งกล่าวว่า กระดานการเมืองไม่ได้ซับซ้อน เพราะล้วนเป็นอิทธิพลของกติกา รธน. 2560 โดยผู้เล่นในกระดานนี้ต้องอุดรูรั่วให้หมด อีกอย่างมีบทเรียนจากกรณีของนายธนาธร ด้วยแล้ว จึงต้องระมัดระวังในการถือหุ้นสื่อ ซึ่งยากจะดิ้นหลุดจากข้อกฎหมายได้ ดังนั้น เมื่อเดินพลาดและกลายเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่โดดเด่น ย่อมถูกเกมนำสิ่งที่ผิดพลาดมาจัดการเพื่อให้พ้นทาง

นายจตุพร กล่าวถึง นายพิธา จะพบ และหารือกับข้าราชการ ว่า ไม่ควรรีบกระทำก่อนการถูกรับรองให้เป็น ส.ส. หรือได้เป็นรัฐบาลแล้ว เพราะขณะนี้ยังไม่มีสถานภาพอะไรตามข้อกฎหมายให้สามารถเรียกข้าราชการมาพูดคุยเชิงข้อมูลในระบบราชการได้เลย ยกเว้นการพบกับภาคเอกชน สามารถทำได้ในนามของพรรคการเมือง


กำลังโหลดความคิดเห็น