“ดร.พิชิต” อ่านขาด บางพรรค ต้องการให้เป็น “รัฐบาลเพื่อไทย ที่มี “พิธา” เป็นนายกฯ”? หากยึด ปธ.สภาได้ “พิธา-ก้าวไกล” ไม่ต่าง “เป็ดง่อย” ใน ครม.และ สภา “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” เตือนระวังกองเชียร์ กองแช่ง เหมือน “หมากรุก”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 พ.ค. 66) รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า
“สิ่งที่เพื่อไทยทำได้เฉพาะหน้านี้ คือ ทำให้รัฐบาลผสมและสภาผู้แทนใหม่มีน้ำหนักของเพื่อไทยมากที่สุด หัวใจคือตำแหน่งประธานสภาที่ทำหน้าที่เสนอชื่อนายก จัดคิวกฎหมายและกำหนดวาระการประชุมสภา รวมทั้งให้ได้ตำแหน่ง รมต.กระทรวงสำคัญๆ
ทั้งหมดนี้เพื่อให้ได้ “รัฐบาลเพื่อไทยที่มีพิธาเป็นนายกฯ” วาระ กฎหมายญัตติของก้าวไกลจะถูกปัดตกใน ครม.และในสภา ส่วนวาระกฎหมายญัตติของเพื่อไทยจะผ่านฉลุยสร้างผลงานให้เพื่อไทย ขณะที่ พิธา และ ก้าวไกล เป็น “เป็ดง่อย” ทั้งใน ครม.และในสภา
ก้าวไกลจะต้องยืนให้มั่น ไม่หวั่นเกรงคำขู่แบล็กเมล์ต่างๆ สารพัด ยึดตำแหน่งยุทธศาสตร์ไว้ให้จงได้ ถ้าถอยวันนี้ ก็จะต้องถอยตลอดไป
และ รศ.ดร.พิชิต โพสต์ด้วยว่า “ถ้าเพื่อไทยเสนอชื่อประธานสภา แข่งกับก้าวไกลแล้วได้เสียงจาก ภท.+พปชร.+ปชป+รทสช.? ชนะไปจริง ก็เท่ากับถีบก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านโดยอัตโนมัติ เปิดทางโล่งให้ พท.ไปผสมพันธุ์กับพรรคทหารจำแลงสะดวกโยธิน
เอาเลยนะ ทำจริงนะ อยากเห็น!”
ขณะเดียวกัน นายนันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“หมากรุกการเมือง
หากใครเคยเล่นหมากรุกไทยก็จะเข้าใจดีว่า เป็นเกมการเล่นที่ไม่ใช่แค่คนสองคนต่อสู้วางแผนเกมการเล่น เอาแพ้เอาชนะกันอยู่ แต่ยังมีกองเชียร์ กองแช่ง กองยุแยงที่ยืนเกาะกระดานอยู่ข้างๆโต๊ะกระดานเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งแพ้เร็วๆ กองเชียร์กองแช่งจะได้ลงมานั่งเป็นผู้เล่นแทน กองเชียร์จึงไม่ใช่ผู้หวังดีเสมอไป แต่เป็นผู้หวังร้ายตัวจริงเพราะบางทีกองเชียร์เห็นหมากกลที่ผู้เล่นไม่เห็นหรือคิดวางแผนไว้ในใจแต่ถูกกองเชียร์เอาเปิดเผยกลางกระดาน คู่แข่งเลยเห็นช่องว่างนั้น ทั้งๆ ที่ตอนแรกไม่เห็น ต้องขอบคุณกองเชียร์ที่อวดเก่งเหล่านั้นด้วย
วันนี้ สังคมไทยมาสู่ยุคที่ชอบสร้างวลีทางการเมือง สู้ไปกราบไปและสู้ไปโกหกไป อันไหนมันจะแรงกว่ากัน
การจัดตั้งรัฐบาลไม่มีบทบัญญัติว่า พรรคที่ได้จำนวน ส.ส.สูงสุดต้องได้จัดตั้งรัฐบาล พรรคกิจสังคมเคยได้ 19 เสียง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เป็นนายกรัฐมนตรี การได้จำนวน ส.ส.มากที่สุดไม่ได้หมายความว่า จะสามารถทำอะไรได้ดั่งใจตนเอง โดยไม่ต้องแคร์หรือฟังเสียงคนอื่น การจัดตั้งรัฐบาลเป็นความพยายามในการประนี ประนอมนโยบายที่ไปด้วยกันได้
วันนี้การต่อรองมาสู่จุดที่พรรคแกนนำจะเอาทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานสภาผู้แทนราษฎร ใครจะยอมกันง่ายๆ ใครจะยอมให้กินรวบ คุณชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาฯจากพรรคที่ไม่ได้เสียงอันดับหนึ่ง แปลว่า ไม่จำเป็นที่พรรคอันดับหนึ่งต้องได้ทุกอย่างที่ต้องการ
แต่ระวังไว้นะ ฟังเสียงคนนอกพรรคชี้นำไม่ให้ยอมแพ้ในการช่วงชิงประธานสภาฯ จะโดนข้อหาให้คนนอกพรรคชี้นำครอบงำพรรค จะโดนฟ้องยุบพรรคอีกข้อหาหนึ่งเพิ่มเติมเข้ามา
การได้เสียงมากที่สุด ไม่มากพอที่จะได้เสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรัฐสภา จำเป็นต้องอาศัยเสียงจาก ส.ว.สนับสนุน แต่ต้องไม่ใช่การข่มขู่ ส.ว. การขู่จะลงถนน หากคิดว่า ม็อบลงถนนจะช่วยให้ได้ทุกสิ่งอย่าง ได้ทั้งนายกฯและประธานสภา แต่ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งจะมีม็อบฝ่ายเดียว ทุกฝ่ายมีมวลชนผู้สนับสนุนของตนเอง ระวังจะเกิดม็อบชนม็อบ หากมั่นใจว่าม็อบของฝ่ายตนใจถึงกว่า พร้อมชนมากกว่า ก็เชิญเลย”