โฆษก ปชป. ปัดข่าวลือร่วม รบ.ลั่น คนๆ เดียว เจรจาไม่ได้ ขึ้นอยู่มติพรรค งัดอุดมการณ์ข้อ 3 ดับฝันยกมือโหวต “พิธา” นายกฯ ย้อนประวัติศาสตร์ แฉพยายามดันยกเลิก ม.112 เข้าสภา ลั่นมีศักดิ์ศรีพร้อมพา 24 ส.ส.ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ซัด “วิโรจน์” พ่อแม่สอนมาดี แต่มีสันดานดิบ ชอบด้อยค่า กร้าวร้าว
วันนี้ (22 พ.ค.) นายราเมศ รัตนเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวสับสนเรื่องพรรคประชาธิปัตย์จะร่วมรัฐบาล หรือไม่ร่วมรัฐบาล เรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะโดยหลักทางกฎหมายและข้อบังคับพรรคแล้วจะหลีกหนีเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะขณะนี้พรรคยังไม่มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) และเรียกประชุม ส.ส.มาพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ส่วนที่มีข่าวว่า มีการเจรจาพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ นั้น ก็เป็นข่าวบิดเบือนทั้งสิ้น รายงานข่าวที่ว่า มีการส่งคนไปเจรจาเพื่อร่วมรัฐบาลเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคประชาธิปัตย เพราะเรามีกฎเกณฑ์กติกาที่ต้องทำตามระบบและระเบียบข้อบังคับ สิ่งที่ระบุในข้อบังคับพรรคระบุชัดในข้อที่ 96 ว่า ให้ที่ประชุมร่วมกันระหว่าง กก.บห. และ ส.ส. เป็นผู้พิจารณาเพื่อมีมติว่าร่วมหรือไม่ร่วม หรือถอนจากการร่วมรัฐบาล แต่ถ้าจะบอกมีใครไปเจรจา ประสานงานเพื่อร่วมรัฐบาลนั้นเป็นข้อมูลเท็จทั้งสิ้น
ส่วนที่มีสมาชิกพรรคแสดงความเห็นเรื่องการยกมือโหวตให้กับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี หรือมีความพยามให้ไปร่วมกับพรรคนั้นพรรคนี้ เป็นความเห็นส่วนบุคคลทั้งสิ้น ตนพูดในนามพรรคที่มีกฎกติการะบุไว้ชัดเจนว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามมติพรรค รวมถึงข่าวที่ว่าเราไปจับมือกับพรรคเพื่อไทยก็ไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีใครสามารถดำเนินการได้คนเดียวเช่นกัน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในส่วนพรรคก้าวไกลที่ชนะการเลือกตั้ง และมีการจัดตั้งรัฐบาล ก็เป็นเรื่องของพรรคก้าวไกลที่เราไม่ไปก้าวล่วง เพราะเรามี 24 ที่นั่ง เราไม่มีสิทธิทักท้วงหรือคัดค้านในสิ่งที่พรรคก้าวไกลและพรรคอื่นที่เข้าร่วมรัฐบาลพูดคุยกัน
“รวมถึงส่วนการยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 เราจะไม่ไปก้าวล่วง แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันตลอด คือ อุดมการณ์ของพรรคข้อที่ 3 ที่ระบุว่า พรรคจะดำเนินการเมืองโดยอาศัยหลักกฏหมาย และเหตุผลเพื่อความศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญ และเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่อนุชน รุ่นหลังให้มีความนับถือ และนิยมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งชัดเจนแล้ว และยืนยันตลอดว่า เราไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิก ม.112 หรือแม้แต่จะมีการแก้ไข แม้จะมีความพยายามสื่อไปยังประชาชนว่าไม่ยกเลิกเพียงแต่แก้ไขก็ตาม”
นายราเมศ กล่าวว่า ตนอยากให้ประชาชนไปศึกษารายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ที่ นายพิธา และพรรคเสนอต่อสภามีความชัดเจนในตัว โดยในเนื้อหาจะบอกชัดเจนว่าให้มีการยกเลิก ม.112 โดยเอกสารของร่างดังกล่าว ใน ม.4 ที่บัญญัติว่าให้มีการยกเลิก ม.112 ทั้งที่มาตรานี้ไม่สามารถทำร้ายใครได้ หากพฤติกรรมผู้ทำผิดไม่ได้ส่อไปในการทำผิด แต่มีความพยายามยื่นหลายครั้งและโจมตี นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ว่า พยายามตีตกไม่ให้บรรจุเข้าวาระสภา ซึ่งเป็นการบิดเบือนอย่างมาก เพราะตนมีหลักฐานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 64 นายพิธาได้เสนอร่างต่อประธานสภา เป็นเอกสารไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ว่า พรรคการเมืองพยายามแก้ไขให้ยกเลิก ม.112 โดยสำนักเลขาธิการสภา ตรวจสอบพบมีข้อบกพร่องและแจ้งให้นายพิธาถอนร่างไปแก้ไข แต่ก็มีความพยายามไม่สิ้นสุด โดยเสนอเข้ามาอีกในวันที่ 25 มี.ค. 64 และวันที่ 7 เม.ย. 64 เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่าไม่ปรากฏข้อความประสงค์ชัดว่าเสนอฉบับใด จึงแจ้งไปยังนายพิธาอีกครั้ง ต่อมาวันที่ 21 เม.ย. นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภา ได้แจ้งให้นายพิธาทราบเพื่อให้แก้ไขข้อบกพร่อง และ วันที่ 23 เม.ย. 64 เจ้าหน้าที่ได้สภาแจ้ง นายพิธา ว่า ร่างนี้อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่นายพิธาก็ยังยืนยันเสนอเข้ามาอีก จนวันที่ 22 ธ.ค. 64 รองเลขาธิการสภา แจ้งไปยังนายพิธา ว่า กรณีการกำหนดความผิดลักษณะที่ยอมความได้ อาจไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาล รธน. 28-29/ 2555 และคำวินิจฉัยของศาล รธน. 19/2564 ที่ว่า ม.112 ไม่ลักษณะที่ขัดหรือแย้ง และไม่มีลักษณะที่เลือกปฏิบัติต่อประชาชน
“หากพรรคก้าวไกลจะทำให้ประเทศไม่เหมือนเดิม เราไม่ก้าวล่วง แต่จะต่อสู้ในระบบรัฐสภา โดย ส.ส.ทั้ง 24 คน จะทำหน้าที่ติดตามเรื่องของการยกเลิกแก้ไข ม.112 เพราะพรรคมีอุดมการณ์และนโยชัดเจนว่าจะไม่มีการแก้ไขหรือยกเลิก ดังนั้น ขอให้พรรคก้าวไกลโชคดีในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้เต็มที่”
เมื่อถามว่า มีสมาชิกพรรคบางคนเสนอให้โหวตให้นายพิธาเป็นนายกฯ โดยไม่ต้องร่วมรัฐบาล นายราเมศ กล่าวว่า แม้ตอนนี้จะยังไม่มีมติของ กก.บห.และ ส.ส.ชุดใหม่ แต่ตนบอกได้เพียงว่าขอให้ดูอุดมการณ์ของพรรคโดยเฉพาะข้อ 3 ที่สามารถบอกได้ชัดเจนแล้ว
นายราเมศ กล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ เวลานี้ทุกคนกลับมาเข้าสู่กระบวนการ เมื่อ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ลาออกจากหัวหน้าพรรค ก็ต้องเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ โดยจะมีการนัดประชุมรักษาการ กก.บห. ในวันที่ 24 พ.ค. เพื่อหารือแนวทางการเลือก กก.บห.พรรคชุดใหม่ต่อไป ซึ่งการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคใหม่ครั้งนี้ จะเป็นความหวังให้ทุกคนพร้อมใจกันจับมือให้พรรคเดินไปข้างหน้า แล้ววันหนึ่งเราจะกลับมา ขณะนี้ทุกคนมีสิทธิจะนำเสนอข่าวว่ามีการบล็อกตัวใครเพื่อให้เป็นหัวหน้าพรรค เพราะใครที่มีความรุ้ความสามารถก็อาสาเข้ามาได้ แพ้เราจะแพ้เลือกตั้งแต่ไม่ได้หมายว่าต้องปิดพรรค เราอยู่มา 77 ปี มีศักดิ์ศรี นโยบายอาจไม่หวือหวาแต่ความยั่งยืนที่เกิดขึ้นจะเป็นคำตอบให้ประชาชนว่าที่ผ่านมาสิ่งดีๆ ที่ทำมาไม่สามารถหยุดการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้
ส่วนกรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตเคยลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคก้าวไกล มีการพาดพิงว่า เราแพ้เลือกตั้งตลอด มีการเหยียดหยามด้อยค่าคนแพ้ หากย้อนไปตอนที่เขาแพ้เลือกผู้ว่าฯ เราไม่เคยไปทับถมด้อยค่าแม้แต่น้อย เพราะถือเป็นมติของประชาชน
“ผมเชื่อพ่อแม่คุณวิโรจน์สั่งสอนมาดี แต่ด้วยตัวเองที่ลักษณะสันดานดิบ ชอบด้อยค่า กร่าวร้าวคนอื่น ปากอ้างประชาธิปไตย แต่พูดแต่ละคำมีแต่เสียดสี ผมไม่เรียกร้องให้ดัดนิสัย เพราะเขาพูดแบบนี้บ่อยครั้งอยู่แล้ว”
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายราเมศ กล่าวว่า แม้เราจะมีแค่ 24 คน แต่การทำหน้าที่ในสภา ทุกเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ทั้งเรื่องผลักดันนโยบายที่ประกาศและการออกกฎหมายต่างๆ ก็จะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ที่สุด ส่วนการทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้านอื่นเป็นเรื่องของอนาคตแต่การทำหน้าที่ฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องรวมกลุ่มกัน เพราะพรรคที่เหลือจากการร่วมรัฐบาลก็ต้องมาเป็นฝ่ายค้านอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า มีการประเมินผลการเลือกตั้งของพรรคที่ได้มาเพียง 24 เสียงอย่างไร โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กก.บห.ชุดใหม่จะมีการสรุปผลการเลือกตั้ง โดยต้องดูแต่ละพื้นที่ว่าความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีมากน้อยขนาดไหน โดยเฉพาะภาคใต้เกือบทุกจังหวัด ยังเห็นกระบวนการซื้อสิทธิขายเสียง ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนมีมูลค่ามากกว่าเงินซื้อเสียง 500 บาท นอกจากนี้ เราจะต้องมีการวิเคราะห์กันด้วยว่าการดำเนินการกิจกรรมในทางข้างหน้า เราจะทำอย่างไรในการต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้
เมื่อถามว่า มั่นใจใช่หรือไม่ ว่า ผู้ที่ได้รับชัยชนะได้เป็น ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีการซื้อเสียงเลย นายราเมศ กล่าวว่า มั่นใจ และถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจพบว่ามีคนของพรรคประชาธิปัตย์มีการซื้อเสียง ก็ขอให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย นักการเมืองที่ทุจริตถ้ามีหลักฐานยืนยัน ตนก็สนับสนุนว่าทำผิดต้องติดคุก