ข่าวปนคน คนปนข่าว
**โจรก็คือโจร "ชูวิทย์" อย่าดูถูกสังคมไม่รู้เท่าทันสันดาน
“ชูวิทย์ กลมวิศิษฎ์” เวลานี้ดิ้นพล่าน อาการเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้า แถมตีหน้าเซ่อพูดออกมาว่า ไม่เคยยกที่ดินให้เป็นของสาธารณะ โกหกสีข้างถลอก กลับสู่ฟอร์มมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกออกสื่อ เพื่อตอบโต้หลังจากกรณี “สนธิ ลิ้มทองกุล และ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” เข้ายื่นเอกสารถึง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบที่ดินและสวนชูวิทย์ ย่านสุขุมวิท ว่าที่ดินดังกล่าวได้กลายเป็นที่ดินสาธารณสมบัติไปแล้วหรือไม่ และร้องสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ว่าละเลยต่อเรื่องนี้หรือไม่
“ ชูวิทย์” ยังงัดมุกเก่า เอามากล่อมติ่งว่า ที่ดินซื้อมา 500 ล้าน ชำระภาษีถูกต้อง ที่ดินยังเป็นชื่อของตัวเอง เรื่องอะไรจะยกให้สาธารณะ ถ้ายกที่ดินตรงนี้ให้สาธารณะ ครอบครัวโดยเฉพาะภรรยา เอาตายแน่
อย่างนี้ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า ตอแหลได้โล่จริงๆ และคงโกหกแม้กระทั่งภรรยาตัวเองไม่ต้องสืบ
สิ่งที่เป็นประเด็น ที่ “สนธิ และ ปานเทพ” สงสัยนำเสนอข้อมูลต่อสังคมตามมาด้วยยื่นให้ ป.ป.ช.สอบ โดยที่ชูวิทย์ไม่ได้ตอบ แต่ก็รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องซื้อมายังไง จ่ายภาษีหรือเปล่า แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชั้นศาลตอนที่ “ชูวิทย์” ต้องโทษในคดีรื้อบาร์เบียร์ และ ต้องการบรรเทาโทษตัวเองลง จึงยื่นคำให้การต่อศาลฎีกาเสนอ “ยกที่ดิน” ต้นเหตุ ให้เป็นสวนสาธารณะ ทำให้ศาลฎีกา พิพากษาบรรเทาโทษ จากจำคุก 5 ปี เหลือเพียง 2 ปี ซึ่งถ้าดูจาก “ฎีกา” ประกอบเป็นสิบๆ ฉบับ ที่ดินดังกล่าวนั้น "น่าจะเป็นที่ดินสาธารณะ" ไปนานแล้ว มาวันนี้บริษัทครอบครัวนายชูวิทย์ ได้ปิด รื้อถอน "สวนชูวิทย์" และกำลังก่อสร้างอาคารมิกซ์ยูส 51 ชั้น เทนธ์ อเวนิว แทนนั้น กระทำได้หรือ ?
“ สนธิ และปานเทพ”เพียงทำหน้าที่สื่อ ที่ต้องไปให้สุดซอยเพื่อพิสูจน์ความจริง และ คนที่ได้ประโยชน์ ก็คือสังคม ไม่มีตรงไหนที่ชูวิทย์กล่าวหา กระทำไปเพราะความแค้นส่วนตัว และมุ่งทำลายชื่อเสียงของชูวิทย์
พูดถึงชื่อเสียง หรือ ชื่อเสีย ? สำหรับชูวิทย์ น่าจะเป็นประการหลัง ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ใครต้องไปทำลายชื่อที่เสียแล้วของชูวิทย์ ที่จบสิ้นลงไปตั้งแต่ถูกกระชากหน้ากากว่า เป็นจอมแฉ ที่รับงาน และ “แฉไปไถไป” ใช่หรือไม่ ?
“ชูวิทย์” ถูกจับได้ไล่ทันว่า แฉไปไถไป รับเงินบ่อนพนันออนไลน์ รับงานเจ้าสัว ซึ่งก็ออกมายอมรับว่าตัวเองเป็นคนชั่วจริง เป็น “โจร” เป็น “มหาโจร” สุดแล้วแต่จะนึกหาถ้อยคำมาด้อยค่าตัวเองให้ต่ำตม เพื่อเรียกร้องคะแนนสงสาร อ้างว่า เป็น “โจรกลับใจ” ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน “กัญชา”เพื่อสังคม แต่ถูกถล่มจากผู้ไม่หวังดี โดน “คนดีย์” รุมทำร้าย
ถามอย่างไม่อายปากตัวเอง ระหว่างตนเองชูวิทย์ กับ สนธิ ใครทำเพื่อสังคม?
คำตอบ ตอบกันด้วยการกระทำ ไม่ใช่แค่คำพูด จะให้ย้อนอดีตจนถึงปัจจุบันก็ได้ เอาใกล้ๆช่วงวิกฤตโควิด สนธิกับรายการ"คุยทุกเรื่องกับสนธิ" รณรงค์สมุนไพรไทย "ฟ้าทะลายโจร" สู้ภัยโรคระบาด แจกจ่ายฟ้าทะลายโจร 5-60 ล้านเม็ดให้สังคม หรือจัดโครงการเยียวยาช่วยเหลือ "เหยื่อหนองบัวลำภู" โดยที่ตอนนั้น ถามว่า ชูวิทย์ทำอะไร ?
อดีตจนถึงปัจจุบัน ชูวิทย์ ล้วนทำเพื่อตัวเอง ประกอบธุรกิจ “เปิดสถานอาบอบนวด” ค้ามนุษย์ด้วยกันใช่หรือไม่ รับว่าหากินอยู่กับวงการ "สีเทา" รับงาน รับเงินมากล่าวหาใส่ร้ายคนอื่น ตรงไหนที่เรียกว่า ทำเพื่อสังคม ?
คุยโม้จะจัดเวทีดีเบตคุยเรื่องกัญชาเสรีที่ศูนย์ต่อต้านกัญชาเสรีของตัวเอง ท้าเหยงๆ ให้ “สนธิ-ปานเทพ” เก่งจริงให้มาดีเบตสิ
โถๆๆๆ...อ้าปากมาวิญญูชนก็รู้ว่า ท้าอย่างเสียไม่ได้ เพราะหลายครั้งหลายหน “ปานเทพ” ท้าออกสื่อให้ ชูวิทย์ดีเบตเรื่องนี้ ที่ไหน อย่างไรก็ได้ แต่จอมแถก็อ้างข้างๆคูๆ กลัวแพ้ กลัวพลาด โบ้ยว่า คู่ดีเบตอย่างปานเทพ เป็น เด็กวานซืน เห่อกัญชา อย่าคิดมาเทียบรุ่นกับตนเอง ภาษานักเลงเขาเรียก “คนละชั้น”
ความจริงก็คือ “ชูวิทย์” ไม่รู้เรื่องกัญชาแม้แต่กระพีก ตรงกันข้ามกับ “ปานเทพ” ที่หากใครติดตามอ่านโปรไฟล์ก็จะรู้ว่าองค์ความรู้เรื่องกัญชาทางการแพทย์อยู่ “คนละชั้น” กับ ชูวิทย์ แน่นอน
เรียกว่า ถ้าจัดชั้นกัน มี “ชั้นต่ำ” และ “ชั้นสูง” ใครต่ำ ใครสูง ผู้มีสติปัญญาดูออกอยู่แล้ว
พฤติกรรมเยี่ยงนี้ของ ชูวิทย์ ทำให้หลายคนคิดถึง สัตว์ที่อยู่ในรู เดี๋ยวผลุบ เดี๋ยวโผล่หัวออกมา ล่อหลอกคนเสียมากกว่า หาสาระอะไรไม่ได้
เอาเป็นว่า สู้กันด้วยความจริงไม่ได้ชูวิทย์ก็ประดิษฐ์คำเอาตัวรอดไปวันๆ คำพูดที่ใช้แซะคนอื่น “แก่จนจะลงโลงอยู่แล้วเคยตรวจสอบตัวเองบางหรือไม่” น่าจะเหมาะกับชูวิทย์ ในช่วงเวลานี้
เช็กตัวเองหน่อยเถอะ สมองยังอยู่ครบมั้ย หรือ มีหัวไว้แค่กั้นหู วาจาจึงได้เลอะเลือน พูดวันนี้ไม่เหมือนพูดเมื่อวาน อย่าว่าแต่เมื่อวาน เช้าพูดอย่าง สายพูดอีกอย่าง ก็ได้เหรอ คนอะไรบิดเบือนได้ตลอดเวลา
คนแบบนี้เป็นอันตรายต่อสังคม ดังที่คำพระว่า “คนโกหกไม่ทำชั่วนั้นไม่มี”
นี่ “ชูวิทย์” ยังจะยัดเยียดสังคมคิดเข้าข้างตัวเองว่ามีคนนิยมชมชอบอยู่ ยกตัวเองเป็นที่รักของชุมชนสุขุมวิท “ถึงเวลาของโจรตัวจริงอย่างผมที่เปิดหน้าชนคนเศษสวะ” เป็นโจรที่ยอมรับความจริง ถึงรู้ทัน “โจรคนดีย์” สังคมจะปกป้องโจรอย่างตัวเองชัวร์
ถ้าชูวิทย์ยังพอมีสติ ออกจากกะลาแลนด์ในโลกโซเชียลฯ ที่มีติ่งมาอวยสู่โลกจริงบ้างก็จะรู้ว่า สังคมเขาคิดต่อตัวเองอย่างไร ส่องกระจกดูหน้าตาเหี่ยวย่นลึกไปในดวงตา ใครเป็นเศษสวะ ใครต่ำตมในสังคม ก็จะเห็นด้วยตาตัวเอง โกหกคนอื่นไดั แต่ปิดบังซ่อนเร้นตัวตนกับตัวเองไม่ได้ไม่ใช่รึ ?
โลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสังคมไหนปกป้องโจรหรอก โจรก็คือโจร
วันนี้สังคมตื่นรู้ รู้เท่าทันสันดานชูวิทย์กันหมดแล้ว อย่าดูถูกสติปัญญาประชาชนนักเลย Chuweed.
**ถึงคิวเพื่อไทย!! “เรืองไกร” ยื่นสอบ “หมอเลี้ยบ-เต้น” ขึ้นโปรไฟล์ผู้สมัครทิพย์ ทำคนเข้าใจผิด
หลังจาก “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เปิดปฏิบัติการ “เด็ดหัวก้าวไกล” ด้วยการไปยื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ “ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกฯ และผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น ITV จำนวน 42,000 หุ้น จะเข้าข่าย ลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส. ตามรธน. มาตรา 98(3) หรือไม่ ...
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า กกต.จะวินิจฉัยว่าอย่างไร จะซ้ำรอย “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่ถือหุ้น วีลัค มีเดีย หรือไม่
ถ้าถึงที่สุดแล้ว “พิธา”ถูกตัดสินว่า มีลักษณะต้องห้ามในการเป็นผู้สมัครส.ส. แม้โทษจะไม่ถึงยุบพรรค แต่บัญชีแคนดิเดตนายกฯของพรรคก้าวไกลก็ต้องสิ้นสุดลงด้วย และก้าวไกลก็ไม่มีแคนดิเดตนายกฯเบอร์ 2 เสียด้วย จึงไม่ต่างกับพรรคที่ไร้หัว !!
โอกาสนี้ “เรืองไกร” ยังได้ยื่นเรื่องที่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย พ่วงไปด้วย นั่นคือ ขอให้กกต.ตรวจสอบ “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และ “เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กระทำการเข้าข่าย ฐานเป็นผู้ใด กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย หรือไม่ และการกระทำนั้น มีผลให้บัตรออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในหน่วยเลือกตั้งต่างๆ เป็นบัตรเสียหรือไม่ และกกต.จะสามารถสั่งมิให้นับเป็นคะแนน ในการคำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ได้หรือไม่ และทำให้การเลือกตั้งส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย มีเหตุอันควรสงสัยว่า มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือไม่ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายหลอกลวงเพื่อให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือ พรรคการเมืองหรือไม่ ...ถ้าผิดจริงอันนี้โทษหนัก!!
“เรืองไกร” บอกว่า ว่าได้ตรวจสอบการโพสต์เฟซบุ๊ก ของผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ทั้ง นายเศษฐา ทวีสิน , น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร และ นายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งทั้ง 3 คน เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย พบว่ามีการขึ้นรูปโปรไฟล์ของของตนเอง พร้อมหมายเลขพรรคคือ หมายเลข 29 ซึ่ง ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขณะเดียวกัน ดันไปมี รูป นพ.สุรพงษ์ เบอร์ 29 และชื่อพรรคอยู่ด้วย รวมทั้งมีรูป ณัฐวุฒิ ในลักษระเดียวกันอยู่ด้วย ทั้งที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่ได้อยู่ใน 100 รายชื่อ ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค และไม่ได้เป็นผู้ถูกเสนอชื่อในบัญชี แคนดิเดตนายกฯ นายกฯ
แล้วอย่างนี้ จะนับได้ว่า มีเจตนาทำให้คนเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของพรรค เข้าข่ายขัด พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 ( 5 ) ประกอบมาตรา 56 และ 132 และ 137 หรือไม่ ...อันนี้หากวินิจฉัยว่าผิดจริง ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของผู้นั้น มีกําหนดยี่สิบปีอีกด้วย ส่วนจะถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ ต้องดูรายละเอียดที่เกี่ยวโยงด้วย
เรียกว่าพรรคเพื่อไทยกำลังลุ้นจะแลนด์สไลด์ ก็มาเจอมรสุมลูกใหญ่เข้าเสียแล้ว ผลจะลงเอยอย่างไร จะเสียหายร้ายแรงหรือไม่ ต้องติดตามการวินิจฉัยของกกต.