"ส.ว.อุปกิต" โวยชื่อเสียงวงศ์ตระกูลย่อยยับ ไปไหนก็ถูกเรียก "ส.ว.ทรงเอ" ถามสื่อกลับตัวเองเหมือนเอเย่นต์ขายยาหรือไม่ จ่อร้องป.ป.ช.สอบ "พ.ต.ท.มานะพงษ์" ฐานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ร่อนจม.เปิดผนึกถึง "โรม-อัจฉริยะ" ช่วยสอบ 86 บริษัท อย่าเล่นงานคนคนเดียว
วันนี้ (10เม.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แถลงข่าวว่า เนื่องจากนายรังสิมันต์ โรม อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ไปกล่าวหาตนก่อนหน้านั้น ตนจึงจำเป็นที่ต้องเข้าไปแสดงความบริสุทธิ์ใจต่ออัยการสูงสุด และให้ข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตนเพิ่มเติม โดยไม่ได้มีหมายเรียกไปเชิญหมายจับทั้งสิ้น ตนเข้าไปยืนยันว่าจะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด ตนไม่หนีไปไหน และ ขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด และให้ตรวจสอบ 86 บริษัท ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ซึ่งค้าขายอยู่ที่เมียนมาได้รับโอนเงินจากบัญชียาเสพติด 16 บริษัท และตอนหลังเพิ่มอีก 6 บริษัท รวมเป็น 22 บริษัท โดยโอนเข้าโดยตรง จะต่างกับคดีของบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป ที่โอนไปที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำไมไม่ไปกล่าวโทษบริษัทเหล่านั้น ทำไมเลือกตนคนเดียว ถือเป็นการแกล้งกัน หรือเลือกปฏิบัติไม่เท่าเทียมกันหรือไม่ กฎหมายต้องเท่าเทียมเสมอภาคและให้ความเป็นธรรม
นอจากนี้ตนยังได้ยื่นหนังสือเปิดผนึก ถึงนายรังสิมันต์ และนายอัจฉริยะ รวม 2 ฉบับ เนื่องจาก นายรังสิมันต์ อภิปรายตนในสภาฯ ทำให้ตนไม่ได้มีโอกาสหรือพิสูจน์ตัวเองแก้ตัว เพราะไม่ได้อยู่ในการประชุมนั้นด้วย ทำให้สร้างความเสียหายกับชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตน ทั้งที่เรื่องเกิดขึ้นหลายเดือนแล้ว แต่ทำไมเพิ่งนำมาอภิปราย ตนได้ตั้งข้อสังเกตจากการแถลงข่าวครั้งที่แล้วว่ามีนัยยะทางการเมืองหรือไม่ ทั้งนี้ตนคิดว่า นายรังสิมันต์ เป็นคนรุ่นใหม่ การอภิปรายน่าจะมีความใหม่ มีความสด แต่กลับใช้วิธีเดิมๆ และวิธีโบราณเอาเอกสารมาจากไหนไม่ทราบ จนตอนหลังมาทราบว่าเป็นประวัติแชทที่นานเป็นสิบๆ ปีมาแล้ว แต่พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ อดีตสารวัตร กองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เอาไปตัดต่อ และแปลผิดๆ เพื่อทำหลักฐานมามัดตน และออกหมายจับตน
"ถ้านายรังสิมันต์ที่อ้างว่าไม่ได้โหนกระแส และไม่ได้หวังผลทางการเมืองก็ช่วยไปตรวจสอบ 86 บริษัทนี้ด้วย นายอัจฉริยะ ที่เป็นบุคคลแรกๆ ที่เปิดประเด็นนี้ และร้องเรียนหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมต่างๆ ได้ออกมาพูดทำให้ขบวนการเสีย "
นายอุปกิต กล่าวว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะมาออกหมายจับตน เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบการสืบสวนเท่านั้น ความจริง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ต้องส่งเรื่องให้ฝ่ายสอบสวนคือ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 เพื่อออกหมายจับ ซึ่งต้องออกหมายเรียกตนก่อนที่จะออกหมายจับ เพราะตนมีตัวตน มีบ้านอยู่ ถ้าออกหมายเรียกตนก็จะรีบไป นอกจากนี้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ ออกหมายจับตนโดยไม่แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบว่าจะออกหมายจับผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เมื่อไปที่ศาลก็ไม่ได้แจ้งผู้พิพากษาที่อยู่เวร ว่าจะมาขอหมายจับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะเห็นว่าผิดถึง 3 ขั้นตอน ทั้งนี้ ถ้าผู้พิพากษาเวรทราบว่าจะออกหมายจับผู้ดำรงตำแหน่ง จะต้องไปปรึกษากับรองอธิบดีผู้พิพากษา และอธิบดีผู้พิพากษา เพื่อไม่ให้กลั่นแกล้งกัน จึงเป็นเลือกปฏิบัติกับตนแต่ผู้เดียว โดยไม่ไปตรวจสอบ 86 บริษัทที่รับโอนเงินจากบัญชียาเสพติดโดยตรง แต่มาจับคนที่เกี่ยวกับบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป อย่างรวดเร็ว ยืนยันว่า ตนไม่หนีไปไหน ตนจะสู้จนสุดท้าย
นายอุปกิต กล่าวว่า หลังจากเสร็จการแถลงข่าวตนจะไปยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เนื่องจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะตั้งหน้าตั้งตาออกหมายจับตนโดยไม่รู้หน้าที่ และกฎหมาย ใช้เพียงความคิดของตัวเองดำเนินการด้วยตัวเอง โดยไม่มีผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชา และศาลคอยกลั่นกรอง หากปล่อยไว้ในสังคมแบบนี้จะเป็นอันตรายมาก ทั้งยังมีความพยายามสร้างเรื่องให้ตนเป็นตัวร้าย ถ้านายรังสิมันต์ไม่ได้สร้างกระแสเพื่อหาเสียงทางการเมือง ก็ไปช่วยตนไปตรวจสอบ 86 บริษัทเหล่านี้ด้วย ไม่ใช้ว่าจ้องเล่นงานตนคนเดียว หลังจากนี้ตนจะมีของขวัญให้นายรังสิมันต์ และนายอัจฉริยะ จึงขอให้โปรดติดตาม
"สิ่งที่สร้างสรรค์ของนายรังสิมันต์ คือตั้งฉายาตนว่า ส.ว.ทรงเอ ตอนนี้ผมไปไหน ไปเดินตลาดคนก็ชี้ว่าคนนี้ คือ ส.ว.ทรงเอ สร้างความเสียหายให้ผมและวงศ์ตระกูล จนชื่อเสียงย่อยยับ ไปตลาดคนก็เรียกว่าส.ว.ทรงเอ เมื่อผมไปเปิดดูก็พบว่า มาจากคำว่า เอเย่นต์ขายยา "พร้อมถามกับผู้สื่อข่าวว่า “คิดว่าผมเหมือนหรือไม่”
นายอุปกิตกล่าวฝากรัฐบาลรักษาการและรัฐบาลหน้าให้ช่วยหาทางแก้ไขปัญหาการค้าขายชายแดนอย่างถาวร ตนทราบมาว่านักธุรกิจหลายคนประสบปัญหาคล้ายกับบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ปในเรื่องการโอนเงิน เพื่อแยกระหว่างยาเสพติด และธุรกิจค้าขายที่ดี เพื่อไม่ให้นักธุรกิจประสบปัญหาเช่นเดียวกับตน ทั้งที่เราไม่ได้ทำความผิด จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องหาทางแก้ไขโดยด่วน จากนี้ตนจะปวารณาตัวหาทางช่วยให้นักธุรกิจไม่ต้องประสบเหมือนกับผม ขอให้ติดตามตอนต่อไป
นายอุปกิต กล่าวย้ำว่าหากต้องการให้เรื่องมีความเสมอภาค ทั้งนายรังสิมันต์และนายอัจฉริยะควรไปช่วยตรวจสอบทั้ง 86 บริษัท ไม่ใช่จ้องแต่จะเล่นงานตนเพียงคนเดียว ที่อ้างตัวว่าเป็นโคนัน ตนไม่คิดว่าจะเกาะกระแสเรื่องนี้เพื่อหาแสง โดยในเอกสารได้ระบุรายชื่อของบริษัททั้งหมดไว้แล้ว ซึ่งเหตุที่ทราบเพราะได้มาจากเอกสารที่อัยการใช้ฟ้องนายทุน มินลัต กับลูกเขยของตน ตนขอถามกลับว่านายรังสิมันต์นำเอกสารหลักฐานมาจากไหน หรือเพียงเกาะกระแส แล้วทำให้เป็นเรื่องการเมือง ซึ่งไม่ใช่มาปรักปรำตนจนทำให้เสียชื่อเสียงไปทั้งประเทศ
เมื่อถามย้ำถึงความแตกต่างระหว่าง 86 บริษัท กับบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป นายอุปกิต ย้ำว่า ไม่มีความแตกต่างใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากบริษัทกลุ่มอัลลัวร์ กรุ๊ป โอนเงินไปที่กฟภ. และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจโดยตรง ชำระตามบิลค่าไฟฟ้าที่แจ้งมาเท่านั้น ควรจะเอาผิดบริษัทเหล่านี้มากกว่าอัลลัวร์กรุ๊ปด้วยซ้ำ
เมื่อถามย้ำว่า ได้รายชื่อ 86 บริษัท มาจากไหน นายอุปกิต หันไปทางทนายความส่วนตัว โดยทนายความส่วนตัวตอบแทนว่า เป็นเอกสาร จ.29 โดยนายอุปกิตทวนอีกครั้งว่าเอกสารต่างๆ ซึ่งคนใช้สิทธิขออนุญาตศาลคัดข้อมูลเหล่านั้นมาจากเอกสารทั้งหมด 5 กล่องใหญ่ ตนได้อ่านทั้งหมดจนทราบว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ ได้แปลหลักฐานผิด สร้างความเสื่อมเสียให้ตน
"ต้องขอบคุณนายรังสิมันต์ที่อภิปรายถึงผม ทั้งที่ผมไม่มีโอกาสชี้แจงหรือตอบโต้ แต่อย่างน้อยทำให้ผมได้สติ และไปอ่านเอกสารต่างๆ" นายอุปกิตกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการชิงเข้าไปมอบตัวก่อนและการออกมาเปิดเผย 86 บริษัท ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการใช้เทคนิคทางกฎหมายเพื่อประวิงเวลาหรือไม่ นายอุปกิตตอบด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ ว่า "คุณไม่เข้าใจหรือว่าผมถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรมแต่เพียงผู้เดียว ทั้งที่กว่า 86 บริษัท ได้รับการโอนเงินโดยตรงจากบัญชีพ่อค้ายาเสพติดโดยไม่มีปลายทางไปที่อื่นด้วย คุณไม่ดำเนินการเขา แต่ดำเนินการกับผม อย่างนี้กฎหมายยุติธรรมเสมอภาคหรือไม่"
ส่วนเรื่องการเสียภาษี นายอุปกิต กล่าวว่าหากจดทะเบียนในไทย ก็คงดำเนินการชำระภาษีเหมือนบริษัทอื่นๆ ในไทย แต่มองว่าไม่ได้กระทบกับภาพรวมของคดีดังกล่าว