โฆษกก้าวไกล โต้ “ส.ว.อุปกิต” ชี้แจงไม่หักล้างหลักฐานอภิปราย ไล่เข้าพิสูจน์ตามกระบวนการ หวังสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง จะได้เห็นผลสาบาน ปลุกองค์กรยุติธรรมคุ้มครองตำรวจน้ำดี
วันนี้ (17 มี.ค.) นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ เวทีปราศรัยพรรคก้าวไกล จังหวัดปทุมธานี ต่อกรณี นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แถลงข่าวตอบโต้ สืบเนื่องจากคำอภิปรายกล่าวหาของนายรังสิมันต์ ในญัตติอภิปรายทั่วไปฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนเองทำหน้าที่ของ ส.ส. ฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 แม้ว่า นายอุปกิต พยายามบอกว่าไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอถามหน่วยว่า มีประชาชนคนไหนได้เลือก ส.ว.บ้าง แต่ พลเอก ประยุทธ์ คือ คนที่เลือก ส.ว. และ ส.ว.ก็เป็นคนเลือก พลเอก ประยุทธ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น การปฏิเสธว่าตนเองไม่มีความสัมพันธ์นั้นย่อมฟังไม่ขึ้น
“ผมคาดหวังว่า ส.ว. อุปกิต จะเอาหลักฐานที่อภิปรายในสภา เอาแชตที่คุยกัน ไปพูดเลย ไปชี้เลยว่า เอกสารข้อความไหนที่ผมพูดเท็จ ข้อความไหนที่ผมพูดไม่จริง ไม่ใช่มาตีหน้าเศร้า สิ่งที่สังคมต้องการคือความจริง” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงประเด็นที่ นายอุปกิต ไม่ได้กล่าวถึง คือ บริษัทเอกชนที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด มีเงินจากการค้ายาเสพติดเข้าไปในบัญชี แล้วนายอุปกิตชี้แจงว่าเป็นเรื่องของกรรมการคนอื่นที่ถูกดำเนินคดีไป ทั้งที่แชตที่นายรังสิมันต์ เปิดหลักฐานในการอภิปรายก็เห็นอยู่ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
“สิ่งที่ผมนำเสนอในสภา คือ หลักฐานที่ยืนยันถึงสายสัมพันธ์ของขบวนการค้ายาเสพติด รวมไปถึงการวิ่งเต้นช่วยเหลือกันเพื่อล้มคดี นำไปสู่การถอนหมายจับ เกือบ 170 วันแล้ว คดีไม่มีความคืบหน้าเลย”
นายรังสิมันต์ กล่าวถึงคำชี้แจงของนายอุปกิต ที่ระบุว่า เห็นหลักฐานว่าเป็นเอกสารเท็จนั้น ว่า คนที่จะเข้าถึงเอกสารชุดนั้น มีแค่สองคน คือ ตำรวจที่ไปขอ กับ ศาล คำถามคือ นายอุปกิต รู้ได้อย่างไร หาก นายอุปกิต ไม่มีเส้นหรือคนวงในช่วยเหลือเรื่องนี้ จะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงคำชี้แจงของนายอุปกิต ที่ระบุว่า ขายโรงแรมอัลลัวร์รีสอร์ต ให้กับนายชาคริต แล้วนั้น ว่า เรื่องนี้ถือเป็นคำสารภาพ ต้องจี้ไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการแล้ว เพราะนั่นหมายความว่า หลักฐานที่ขายรีสอร์ตและยื่นสัญญากับหลักฐานทางบัญชีไปแล้ว แสดงว่า เป็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คิดว่า นายอุปกิต ชี้แจงได้ไม่ชัดเจน
“ท่านจะสาบานว่า ท่านไม่เกี่ยวข้องและสาปแช่งผม วันนี้ผมพูดตรงไปตรงมา ผมอยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงที่สุดในชีวิต เพื่อจะได้เห็นกันเลยว่าคนที่สาบานจะต้องโดนอะไร สุดท้ายสิ่งที่ผมเสนอในสภา มันคือหลักฐาน แล้ววันนี้สิ่งที่ ส.ว. อุปกิต ชี้แจง ท่านไม่ได้เอาหลักฐานมาหักล้างผมเลย ดังนั้น จะเรียกดรามาอะไรก็แล้วแต่ ผมก็จะเดินหน้าตรวจสอบต่อไป”
นายรังสิมันต์ ยังเปิดเผยว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานอัยการสูงสุด ล่าสุดได้รับการติดต่อจากพนักงานอัยการให้ไปชี้แจงในวันที่ 21 มี.ค. 66 ช่วงเวลา 13:00 น. จึงจะนำหลักฐานเพิ่มเติมและไปชี้แจง หากยุบสภา วันที่ 20 มี.ค. วันนั้นจึงคงไม่ได้ไปในฐานะ ส.ส. แต่ก็ถือหลักการว่าทำหน้าที่จนวันสุดท้าย
“ผมไม่ได้รู้จักอะไรกับคุณอุปกิตเป็นการส่วนตัว ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับคุณอุปกิตส่วนตัว เดิมทีเราทำหน้าที่ในการตรวจสอบรัฐบาล แต่การจะไต่ไปถึงรัฐบาล บางทีต้องไต่บันได เพราะมันมีคนที่เกี่ยวข้องอยู่เหมือนกัน”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแถลงข่าวของนายอุปกิต จะเป็นการเปลี่ยนทิศทางลมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบคดีนี้หรือไม่ นายรังสิมันต์ ตอบว่า ไม่รู้ว่าทิศทางลมที่เปลี่ยนจะดีหรือร้าย แต่ท้ายที่สุดก็อยากเห็นทุกคนที่เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มันมีบางคนไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในการพิสูจน์ตัวเอง
“จริงหรือร้าย ไปพิสูจน์กันในกระบวนการยุติธรรม”
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า อยากเห็นทุกองค์กรทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อให้เกิดความยุติธรรม วันนี้เราเห็นสมาคมตำรวจต่างๆ และยังจะเห็นพนักงานตำรวจกำลังจะถูกดำเนินคดี กลายเป็นวันนี้เราเห็นตำรวจน้ำดีอยู่ไม่ได้ อย่าง พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ที่ต้องลี้ภัย และ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ ที่กำลังจะถูกดำเนินคดี คนดีๆ อีกจำนวนมากที่พยายามทำให้ความชั่วช้าหายไปกำลังเดือดร้อน เราอยู่เฉยไม่ได้
“ผมหวังว่า ศาล อัยการ พี่น้องตำรวจ ไม่ว่าจะชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย ต้องทำอะไรได้แล้ว เราปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดต่อไปอีกไม่ได้”