"ส.ว.อุปกิต" แถลงเปิดใจ! แจงยิบปมเอี่ยว ‘สีเทา-ยาเสพติด’ โยง ‘รวมไทยสร้างชาติ’ เสียงสั่นสาบาน ไม่ยุ่งเกี่ยวของพวกนี้ ใครใส่ร้ายขอให้วิบัติ’ ลั่นจะไม่ทำตระกูล-ครอบครัวเสื่อมเสีย ลุยฟ้อง "มานะพงษ์" คาฝจเอี่ยวก้าวไกล ลั่นล้ำเส้นโดนหมด
วันนี้ (17 มีนาคม ) ที่รัฐสภา นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แถลงกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องและพัวพันกับนายทุน มิน ลัต ขบวนการค้ายาเสพติด และให้พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เช่าอาคารเป็นที่ทำงานพรรค แถวอารีย์ซอย 5 ว่า ตนขออภัยที่แถลงข่าวช้าไปนิดหนึ่ง เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดี แต่เมื่อสื่อบางสื่อกับนายรังสิมันต์ ได้อภิปรายในสภาฯ ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิด สื่อดังกล่าวและนายรังสิมันต์ได้ตัดสินตนไปแล้วว่าตนผิด ตอนแรกตนคิดว่าเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ซึ่งตนมีความเชื่อมั่นและจะไม่ละเมิดหรือก้าวล่วง ดังนั้นจะไม่กล่าวถึงมากนักเนื่องจากฝ่ายศาล อัยการและตำรวจได้ออกมาชี้แจงไปแล้ว
"อย่างไรก็ดีผมขอพูดเล็กน้อยเกี่ยวกับคดีลูกเขยของตน โดยตามหมายจับลงวันที่ 9 กันยายน 2565 และบันทึกจับกุมลงวันที่ 19 กันยายน 2565 ระบุว่าลูกเขยของผมมีพฤติกรรมหลบหนีมาอยู่บ้านพักซอยสุขุมวิท 69 ซึ่งเป็นบ้านของผมและมีชื่อตนเป็นเจ้าของ ลูกเขยของผมได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านนั้นมานานแล้ว ในขณะจับกุมตัวก็ได้เดินเล่นกับลูกเล็กอยู่ ซึ่งคือหลานของผมเอง หากผมเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างที่ว่า คงจะช่วยตั้งแต่วันนั้นแล้ว ไม่ต้องให้ลูกเขยผมอยู่ในเรือนจำถึงวันนี้เป็นเวลา 7 เดือนแล้ว หลานของผมร้องให้ทุกวัน และลูกสาวของผมก็โทรมาหาทุกวัน ซึ่งผมช่วยอะไรไม่ได้" โดยนายอุปกิต กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และเช็ดน้ำตาไปพร้อมกัน จนต้องหยุดพูดในบางช่วง
นายอุปกิต กล่าวว่า ส่วนเรื่องหมายจับจากคำฟ้องซึ่งไม่ใช่เหตุผลเดียวกัน และคดีที่พูดถึงคือนายทุนมินลัตและพวก ที่ถูกสั่งฟ้องไปแล้วในกลุ่มแรก เนื่องจากทั้งหมดเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัท Myanmar Allure Group ส่วนตนไม่ใช่ผู้ถือหุ้นและกรรมการแต่อย่างใด จึงไม่ได้อยู่ในสำนวนแรก ส่วนสำนวนของตนเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงถือเป็นอีกคดีหนึ่งดังที่กล่าวกันมา ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องตำรวจแล้วก็ขอพูดถึงเรื่องข่าวต่างๆ ว่าตำรวจที่ทำคดีนี้โดนย้ายไปทั้งหมดแล้ว ยืนยันว่าตนไม่มีอำนาจจะสั่งย้ายใคร หรือกดดันให้ย้ายใครได้ เรียนให้ทราบว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ ในฐานะสารวัตรที่ทำคดีทุน มิน ลัต และพวกโดนย้ายเนื่องจากเป็นการย้ายไปตามรอบ และไม่มีผลงานใน 3-4 เดือน เพราะมีแค่คดีทุน มิน ลัต การย้ายในครั้งนี้ไม่ได้ย้ายเพื่อลงโทษแต่ย้ายไปในตำแหน่งใกล้เคียงกัน ถ้าตนมีอิทธิพลจริง ก็คงจะย้ายเขาออกไปไกล อีกทั้งตำรวจชุดนี้ ไม่ได้รับคดีไว้ตั้งแต่ก่อนถูกย้ายแล้ว แล้วจะหาว่าตนทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ได้
นายอุปกิต กล่าวต่อว่า ส่วนนายรังสิมันต์ ที่อภิปรายถึงตนในสภาฯ ทำให้ตนไม่มีโอกาสชี้แจงและตอบโต้ แต่ต้องขอบคุณที่ทำให้ตนไปดูเอกสารการออกหมายจับ ซึ่งต่อมาได้มีการยกเลิกในวันเดียวกันตามที่เป็นข่าวไปแล้ว ในเหตุผลที่ขอออกหมายจับตนพบว่ามีการตกแต่งคำพูดในแชท เอานู้นมาผสมกับนี้แปลผิดโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเพื่อเอามาปั้นเป็นหลักฐานทำให้ตนมีความผิด การที่นายรังสิมันต์กล่าวว่า บุคคลย่อมเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย หากนายรังสิมันต์โดนออกหมายจับก็อยู่ภายใต้กฎระเบียบเดียวกับตน ทั้งนี้ ตนทำธุรกิจซื้อขายไฟฟ้ามา 10 กว่าปี ตั้งแต่ต้น หลังจากที่ก่อสร้างโรงแรม Allure เมียนมา ทางการเมียนมายังไม่มีไฟที่ใช้อย่างสม่ำเสมอ โรงแรมต้องใช้เครื่องปั่นไฟโดยเติมน้ำมันดีเซล เปิดปิดเครื่องทุก 6 ชั่วโมง ทำให้ไม่มีไฟใช้อย่างเสถียร และต้นทุนสูงมาก ทางรัฐบาลเมียนมาจึงให้ตนนำไฟไทยมาใช้ในเบื้องต้น ต่อมาประชาชนที่ท่าขี้เหล็กมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเช่นเดียวกัน บริษัทฯ จึงได้เป็นตัวกลางในการขายไฟ และการชำระค่าไฟไม่ก็เคยมีปัญหามาก่อน แต่เริ่มมีปัญหาเมื่อด่านไทยเมียนที่ท่าขี้เหล็กปิดในปี 2563 เนื่องจาก โควิด-19 นายทุน มินลัต ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการโอนเงินได้ฝากเงินผ่านผู้รับบริการโอนเงินฝั่งเมียนมา แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ เพราะเมียนมาไม่มีระบบการเงินการธนาคารที่รองรับการโอนเงินได้ จึงใช้ระแบบแมชชิ่งคือ
เมื่อนายทุนมินลัต ไปให้เงินในฝั่งเมียนมา ก็จะใช้บัญชีของลูกค้าฝั่งไทย โอนเงินไปตามที่เราต้องการ โดยเป็นการโอนเงินเข้าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งทางตำรวจพบว่าบางบัญชีที่โอนเข้าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ถ้าดูมูลค่าของธุรกิจไฟฟ้า ที่มีมูลค่าปีหนึ่งเป็นร้อยๆ ล้านบาท แต่ถ้าเทียบกับยอดเงินไม่ดีที่เข้ากฟภ. คิดเป็นเปอร์เซนต์แล้วถือว่าน้อยมาก ต่อมานายทุนมินลัต ได้จัดตั้งบริษัท ALLURE GROUP (P&E) CO.,LTD. ในไทย เปิดบัญชีกับธนาคารและให้ผู้รับโอนเงินโอนเข้าบัญชี ซึ่งก็คือเป็นวิธีแมชชิ่งเช่นเดิม คือเอาบัญชีในไทยโอนเข้าบัญชีบริษัทฯ เพื่อที่จะรวบรวมเงินชำระค่าไฟฟ้า และลงบัญชีการเงินเพื่อชำระภาษีอย่างถูกต้อง และสามารถใช้อินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้งได้จากย่างกุ้ง หรือที่ที่เขาอยู่ โอนเข้าไปที่กฟภ. เพราะด่านชายแดนปิด นายทุนมินลัต ไม่สามารถเข้าออกประเทศไทยได้ แต่ยังไม่ทำเรื่องภาษีก็ถูกจับกุมเสียก่อน ข่าวกลุ่มบริษัท ALLURE ฯ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการซื้อขายไฟฟ้าเท่านั้นไม่เกี่ยวกับธุรกิจอื่น แต่ตำรวจนครบาลกล่าวหาว่าบริษัท ALLURE หัวแปรค่ายาเสพติดเป็นกระแสไฟฟ้า แล้วจ่ายค่ายาเสพติดที่เมียนมา การซื้อขายไฟฟ้าจาก กฟภ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ และส่งไปยังคณะกรรมการไฟฟ้า ซึ่งเป็นรัฐวิสากิจเมียนมามีสัญญาซื้อขายไฟอย่างชัดเจน และถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการจ่ายเงินค่าไฟฟ้าตามใบแจ้งหนี้ของ กฟภ. และรับเงินค่าไฟฟ้าจากคณะกรรมการไฟฟ้าเมียนมา ก็รับตามใบแจ้งหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ทุกอย่างจึงถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นท่านคิดว่ามีความสมเหตุสมผลในการฟอกเงินหรือไม่ ถ้ายืนยันนั้นตนจะอธิบายไม่ได้
“เมื่อช่วงด่านปิด เมื่อปี 2563 ก็ดำเนินการทุกอย่างไปตามสัญญา เมื่อกลุ่ม ALLURE ฯ รับเงินค่าไฟฟ้าอย่างถูกกฎหมายมาแล้ว และด่านแม่สายปิดจึงไม่สามารถข้ามด่านไปซื้อแคชเชียร์เช็คชำระให้กฟภ. ได้ เมื่อไม่มีทางอื่น จึงต้องใช้บริการผู้รับฝากโอนเงิน และไม่สามารถทราบได้ว่าผู้โอนเงินนี้ใช้บัญชีอะไรบ้างโอนไป ซึ่งยอดก็ตรงตามใบเสร็จแจ้งหนี้ของ กฟภ. จะเห็นได้ว่าเงินที่รับค่าไฟฟ้าจากคณะกรรมการการไฟฟ้าพม่า เป็นเงินที่รับตามสัญญาตามใบแจ้งหนี้ แต่พอไปใช้บริการฝากโอนเงิน ก็มีเงินบางส่วนมาจากบัญชีที่ถูกตำรวจนครบาลกล่าวหา แต่ทั้งหมดปลายทางคืออยู่ที่กฟภ. ถ้าจับก็ต้องไปจับที่กฟภ. ด้วย แล้วก็ต้องดูยอดเงิน มันเล็กน้อยมาที่โอนเข้า กฟภ. โดยตรง ที่เป็นเงินที่มาจากยาเสพติด” นายอุปกิต กล่าว
นายอุปกิต กล่าวต่อว่า เงินค่าไฟฟ้าที่ถูกกฎหมายอยู่แล้ว คงไม่มีใครคิดเอาไปฟอกผ่านบริการฝากโอนเงิน ให้เป็นเงินผิดกฎหมายแล้วมาจ่ายค่าไฟฟ้า การที่ถูกกล่าวหาว่า นำเงินไฟฟ้าไปจ่ายค่ายาเสพติดจึงไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะคณะกรรมการค่าไฟฟ้าเมียนมา ซื้อไฟฟ้าไปแล้วก็ไปกระจายขายต่อให้โรงพยาบาล ส่วนข้าราชการอื่นๆ และประชาชนถ้าตำรวจชุดสืบสวน พิจารณาอย่างรอบคอบ ก็จะไม่มีใครถูกดำเนินคดี ส่วนคนที่ถูกดำเนินคดีไปแล้วเป็นกรรมการผู้ถือหุ้น ส่วนตนไม่ได้เป็นกรรมการไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ภายหลังจากที่คณะกรรมการและผู้ถือหุ้นกลุ่มบริษัท ALLURE ฯ ถูกดำเนินคดีแล้วมีข้อมูลว่าจะตัดไฟฟ้า เพราะไม่มีผู้ติดต่อประสานงาน เนื่องจากอยู่ในเรือนจำ ทางเมียนมาจึงเดือดร้อนมาก เมื่อไม่มีทางออกจึง ขอให้ทางการเมียนมาเจาจากับไทย และใช้วิธีการเดิมคือการฝากโอนเหมือนเดิม ส่วนคณะกรรมการ และผู้ถือหุ้นที่ถูกจับ ทุกวันนี้ยังไม่มีใครรับสารภาพว่าทำผิด เมื่อศาลยังไม่ตัดสินว่าผิดหรือถูก แต่กลับถูกนำคดีมาปั่นกระแส เพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยผู้ต้องหาไม่ได้มีโอกาสที่จะชี้แจงหรือว่ารักษาสิทธิ์ของตนเองผ่านกระบวนการยุติธรรม
นายอุปกิต กล่าวว่า ตนจึงขอตั้งข้อสังเกตที่รับทราบมาจากสื่อบางรายการว่า จะมีทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ ว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ มีความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ เพราะการปล่อยข่าวนั้นเป็นระบบที่แปลกใหม่และเป็นความชำนาญของคนรุ่นใหม่ ที่จะใช้วิธีโซเชียลในการปล่อยข่าวอย่างแยบยล เอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงการร้องขอออกหมายจับ และการเพิกถอนหมายจับ ถูกโพสต์โดยบัญชีลึกลับในวันที่ 11 มีนาคม 2566 นี้ และผู้สื่อข่าวคนหนึ่ง
นำมาโพสต์ลงในทวีตเตอร์ พร้อมแชร์ลิ้งค์ก่อนเวลา 11.00 น. ลิ้งค์ดังกล่าวถูกลบ น.ส.วสินี เป็นสื่อรุ่นใหม่และเคลื่อนไหวเรื่องการปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเคมีตรงกับพรรคไหน จึงขอตั้งเป็นคำถาม
นายอุปกิต กล่าวต่อว่า ข้อสังเกตต่อไป ตนทราบมาจากการอ่านทางอีกว่าสื่อที่แชร์ข้อมูลนี้สื่อแรกจะนำเสนอข่าวความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง และข่าวกลุ่มนักกิจกรรมบ่อยครั้ง ต่อมาเฟซบุ๊กของ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ ปัญญาณ์ธรรมกุล ซึ่งเป็นเพื่อนรักของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ และมีภรรยาคือ ทนายแจม น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ผู้เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตสายไหม ของพรรคก้าวไกล เคยทำงานเป็นทนายให้กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนของนายอานนท์ นำภา ที่รับทำคดีให้นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่า การที่นายรังสิมันต์ ตอบว่าไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อดิสเครดิตทางการเมือง แต่เอาป้ายมาติดข้างหลังว่า นักการเมืองค้ายาจะหมดไป ถ้าเลือกพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ตนจึงอยากทราบว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ มีความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ ทั้งหมดเป็นความบังเอิญหรือเป็นทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ นอกจากนี้ ตนขอตั้งข้อสังเกตอีกว่า มีการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะเอกสารที่หลุดจากพ.ต.ท.มานะพงษ์พรรคการเมืองตรงข้ามรัฐบาลนำมาโหนกระแสกันใหญ่ สุดท้ายตนขอความเป็นธรรมจากสังคม และครอบครัว เพราะตกเป็นเหยื่อทางการเมืองเพื่อสร้างกระแส โหนกระแส และเลี้ยงกระแส ที่มาปะทุอีกครั้งช่วงก่อนการเลือกตั้ง และจะเป็นประโยชน์หาเสียง ตนขอให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำงานโดยไม่มีการกดดันหรือแทรกแซง ตนยังมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และเชื่อว่าไม่มีใครสามารถก้าวก่ายและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้โดยเฉพาะตน
นายอุปกิต กล่าวว่า ตนจะมอบหมายให้ทีมทนายความ ไปฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ อดีต สว.กก.2 บก.สส.บช.น. และบุคคลอื่นที่หลักฐานไปถึงในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต่อศาลอาญาทุจริต และจะไปยื่นต่ออธิบดีศาลอาญาด้วย ว่า มีการละเมิดศาลหรือไม่ ที่พ.ต.ท.มานะพงษ์ เจตนาใช้เอกสารที่บิดเบือนข้อเท็จชัดเจนในการยื่นคำร้อง ขอออกหมายจับตน ส่วนสื่อมวลชนที่ตนได้ฟ้องไปแล้ว และที่ตนกำลังจะฟ้องต่อไป ก็เนื่องจากได้นำเสนอข่าวทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับฟังและ เชื่อว่าตนทำความผิดไปแล้ว และตัดสินว่า ตนมีความผิดไปแล้ว ทำให้ตนเสียหายมาก เสียเกียรติ ถูกดูหมิ่นเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทั้งที่คดีความของตนเพิ่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเมื่อปลายเดือนมกราคมนี้เอง ยังไม่มีการตัดสินว่าตนผิด ใครที่ล้ำเส้นตน ซึ่งเป็นการระทำผิดกฎหมาย กล่าวหา ว่าตนทำผิดกฎหมายโดยยังไม่ได้พิสูจน์ข้อเท็จจริง ตนจะปกป้องสิทธิด้วยการฟ้อง หากตนชนะคดี ตนขอบริจาคเงินให้การกุศลทั้งหมด ตนต้องการอย่างเดียวคือ กอบกู้ชื่อเสียงและเกียรติยศ