“สันติสุข” ชี้เจตนา “ชูวิทย์” ยกที่ดินให้เป็นสวนสาธารณะหรือไม่ ต้องย้อนไปดูเจตนาในวันที่เปิดสวนและตอนยื่นคำให้การต่อศาล ไม่ใช่ดูเจตนาในวันนี้ที่ไม่อยากยกให้ ระบุเจตนาและคำพูดของคนเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์และผลประโยชน์
ในรายการ “รู้ทันคดีโกง” ดำเนินรายการโดยนายสันติสุข มะโรงศรี ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ TOP NEWS เมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ได้มีการนำเสนอประเด็นที่ดินปากซอยสุขุมวิท 10 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีรื้อบาร์เบียร์ และนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เคยประกาศให้เป็นสวนสาธารณะให้คนกรุงเทพฯ เข้าไปใช้ประโยชน์ แต่ต่อมาได้มีการปิดสวนและปรับพื้นที่เพื่อทำโครงการอาคารในชื่อเทนธ์ อเวนิว จนกระทั่งล่าสุดทางกรุงเทพมหานครได้สั่งให้ยุติการก่อสร้างไว้ก่อน เนื่องจากอาจจะเข้าข่ายบุกรุกที่สาธารณะหรือไม่
ทั้งนี้ นายสันติสุขได้อ้างอิงข้อมูลจากรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันที่ 7 เม.ย.2566 ซึ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้นำเอกสารมายืนยันว่านายชูวิทย์ได้แสดงเจตนารมณ์เสียสละที่ดินบริเวณดังกล่าวให้เป็นสวนสาธารณะแล้ว ในคำให้การที่ยื่นต่อศาลในคดีรื้อบาร์เบียร์ ซึ่งนายชูวิทย์ระบุชัดเจนว่า ได้ละทิ้งโครงการก่อสร้างบริเวณนถนนสุขุมวิท 10 แม้จะเสียค่าออกแแบบไปแล้วถึง 30 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ดั่งเช่น สวนสาธารณะทั่วไปและเป็นปอดใจกลางกรุงเทพฯ โดยไม่ได้พูดว่าจะชะลอโครงการ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าสวนชูวิทย์เป็นสาธารณะสมบัติของพลเมืองกรุงเทพมหานคร เป็นการสละเพื่อพลเมืองกรุงเทพมหานคร ที่ไม่สามารถกำหนดเวลาเอาคืนได้แล้ว
นอกจากนั้น นายชูวิทย์ยังเคยแุถลงข่าวตอนเปิดสวนชูวิทย์ในปี 2548 ว่า ขอเสียสละให้เป็นสวนของ กทม. จะสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของ กทม. ต้องการให้เป็นตัวอย่างกับคนที่มีเงินเป็นแสน ๆ ล้านบาท ว่าตายไป เอาอะไรไปไม่ได้ เหรียญบาทเงินปากผี สัปเหร่อยังเอาไปเลย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยวางแผนจะใช้พื้นที่นี้สร้างโรงแรมระดับสี่ดาว และจ่ายค่าออกแบบไปแล้ว 30 ล้านบาท แต่ก็ยกเลิกโครงการไปแล้ว
ขณะที่นายชูวิทย์ ได้ออกมาตอบโต้ล่าสุดว่า ตนไม่ได้ให้ที่ดินเป็นสวนสาธารณะ แต่เป็นการทำสวนให้ประชาชนมาใช้ เหมือนถนนส่วนบุคคลที่ให้คนมาเดินแล้วติดป้ายว่าเป็นถนนส่วนบุคคล เป็นถนนในโฉนดส่วนบุคคล มีการปิดเปิดเป็นเวลา แล้วยังเสียภาษีตามปกติ ตนก็ทำสวนให้คนเข้ามาใช้ถึงเวลา 6 โมง 1 ทุ่มก็ปิด เช้ามาก็เปิดให้คนเข้าไปใช้ ตนเสียภาษี เสียค่าน้ำค่าไฟ มีชื่อบริษัท
นายชูวิทย์ อ้างอีกว่าฎีกาแต่ละฎีกาต้องดูเจตนารมณ์ของแต่ละคนว่าจะยกให้หรือไม่ แต่ตนไม่มีเจตนาจะยกให้ ถ้าจะยกให้ต้องไปมอบให้ เหมือนที่เอาเงินไปมอบให้ รพ.ศิริราช และการก่อสร้างต้องวางแผน เพราะไม่ใช่การสร้างบ้าน แต่เป็นการสร้างตึก 50 ชั้น ต้องขอตามกฎหมาย ต้องทำ EIA ต้องไปถามชุมชน ตนคิดมาหลายปี หลังออกจากคุก เพราะต้องทำมาหากิน
ทั้งนี้ นายสันติสุขกล่าวว่า เวลาที่เราจะดูเจตนาของนายชูวิทย์ว่าเป็นอย่างไร มีเจตนาอุทิศสวนให้เป็นสวนสาธารณะ หรือเป็นไปตามที่นายชูวิทย์อ้างว่าไม่ได้ยกให้ เป็นแค่ทำชั่วคราว ต้องถามย้อนกลับไปดูเจตนา ไม่ใช่เจตนาของนายชูวิทย์ในวันนี้ เพราะในวันนี้นายชูวิทย์ไม่ได้อยากยกให้ อยากจะเอาไปทำโครงการ แต่ต้องดูเจตนาของนายชูวิทย์ในวันโน้น คือเจตนาของนายชูวิทย์ในวันที่ประกาศทำสวน เปิดสวน ไปยื่นคำให้การในศาล แสดงเจตนาอย่างไรก็ต้องดูวันโน้น ไม่ีใช่มาดูวันนี้ เพราะเจตนาของคน การพูดของคนเปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์ และผลประโยชน์ในขณะนั้นๆ
นายสันติสุขกล่าวอีกว่า ทางรายการเคยนำเสนอแล้วว่าหลักสำคัญของคดีนี้ ไม่ใช่ไปดูว่าสวนอยู่ในทะเบียนชื่อใคร ใครลงทุนทำสวนให้ ไม่ต้องไปดูว่าโอนให้เป้นของหลวงหรือยัง แต่ให้ดูเจตนาว่าเป็นการอุทิศ ยกให้สาธารณะหรือยัง ต้องย้อนกลับไปดูตรงนั้น อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้ว ผู้ที่จะตัดสินเรื่องนี้ให้เป็นที่ยุติก็คือศาล