"อุ๊ กรุงสยาม” ดันพระเครื่องไทยตีตลาดจีน เผยกว่า 10 ล้านคนสนใจ ซื้อไปจำหน่าย-สะสมพันล้านบาทต่อปี “วรวุฒิ” เชื่อขยายผลเพิ่มยอดตลาดจีน 100 ล้านคนได้ใน 2 ปี แค่ใส่เรื่องราว ขึ้นทะเบียนออกใบเซอร์พระแท้ รักษามาตรฐาน ยันชพก.หนุนเศรษฐกิจสายมูเป็น ซอฟท์พาวเวอร์ สร้างรายได้เข้าประเทศ
ที่ไอคอนสยาม ชมรมพระเครื่องสุขสยาม นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ นายกอบต.บ้านใหม่ อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา
หรือ " อุ๊ กรุงสยาม "ผู้บริหารชมรมฯ จัดเสวนามองอย่างเซียน “ทิศทางวงการพระเครื่องปี 66” โดยเชิญเซียนพระชั้นนำของเมืองไทย นายธนัท ชัยวชิรศักดิ์ หรือ "นัทแฟนพันธุ์แท้" นายกฤษฎา ไทยสำราญ หรือ "ต้อม นครสวรรค์" นายซิยี่ เจสัน ชาวจีนที่ชื่นชอบสะสมพระเครื่อง และเปิดศูนย์พระเครื่องในไทย พูดในประเด็น "ทิศทางตลาดพระเครื่องไทยในประเทศจีน” และนายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ผู้ผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจสายมู สู่นโยบายพรรคการเมือง
นายวัชรพงศ์ กล่าวว่า ชมรมพระเครื่องสุขสยาม แม้จะเป็นชมรมเล็ก แต่จากความเปลี่ยนแปลงในวงการพระเครื่อง ที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ก็สามารถเชื่อมสู่ระบบใหญ่ได้ และต่อไปจะมีการออกบัตรรับรอง (ใบเซอร์) พระเครื่องต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีช่องทางการสื่อสาร สร้างการรับรู้ทางผลิตภัณฑ์ที่จะเจาะตลาดต่างประเทศ ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก หากมีการรักษามาตรฐาน และไม่มีการประโคมข่าวโจมตี
นายธนัท กล่าวถึง ความนิยมขององค์พ่อจตุคามจะกลับมาหรือไม่ว่า โดยหลักเศรษฐกิจแล้วในปี 2549 - 2551 เป็นช่วงที่ องค์พ่อจตุคามได้รับความนิยมสูงที่สุด ทำให้มีการสร้างของใหม่ออกมามาก ส่งผลให้อุปสงค์อุปทานไม่เสถียร แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด ขณะที่ทุกอย่างทั่วโลกหยุดชะงัก ราคาของอย่างอื่นตกหมด แต่พระเครื่องราคาขึ้นถึง 80% องค์พ่อจตุคาม ราคาขยับตั้งแต่ช่วงก่อนโควิดเล็กน้อยและขยับขึ้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมีฐานเดิมที่ดี ทั้งนี้ในปี 2550 เศรษฐกิจมวลรวมขององค์พ่อจตุคามสูงถึง 28,000 ล้าบาท และจากนี้ไปราคาจะไม่มีทางตกลง ถ้าไม่ได้สร้างออกมามากมายหรือมีการประโคมข่าวในแง่ร้ายเหมือนในอดีต
ด้านนายเจสัน ให้ข้อมูลทิศทางตลาดพระเครื่องไทยในประเทศจีนว่า ส่วนตัวสนใจสะสมพระเครื่องไทยมากว่า 15 ปีเริ่มสะสมจากวัดหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี, หลวงปู่หมุม วัดบ้านจาน จ.สุรินทร์, หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง, แปะโรงสี จ.ปทุมธานี , กุมารทองหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จ.นครปฐม, หลวงพ่อรวย วัดตะโก จ.อยุธยา ฯลฯ และเป็นคนแรกที่เปิดร้านจำหน่ายพระเครื่องไทยที่มณฑล กุ้ยโจว จากนั้นได้เปิดร้านจำหน่ายพระเครื่องทั้งออนไลน์และมีหน้าร้านทั้งในประเทศไทยและจีนด้วย
“ขณะนี้คนจีนไม่น้อยกว่า 10 ล้านคนมีความสนใจในพระเครื่องไทย และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการซื้อขายผ่านช่องทาง แอพฯ เถาเป่า และติ๊กตอก ซึ่งตนเองก็มีรายได้จากการหาพระเครื่องไทย ไปให้คนจีนเช่าและสะสม อย่างน้อยเดือนละไม่ต่ำกว่า 7-10 ล้านบาท ส่วนตัวเริ่มต้นจากสนใจ แป๊ะโรงสี จ.ปทุมธานี เช่ามาราคาหลักล้านบาทแต่ตอนนี้มีคนจีนมาติดต่อขอเช่า ให้ราคาสูงถึงกว่า 10 ล้านบาท แต่ตนก็ยังไม่ตัดสินใจที่จะปล่อย”
ด้านนายวัชรพงศ์ กล่าวเสริมว่า จากข้อมูลพบว่าปีนึงมีชาวจีนมาซื้อพระเครื่องจากไทยถึงหลักพันล้านบาท แต่เดิมคนจีนจะไม่รู้จักพระเครื่องไทยมากนัก แต่เมื่อมีการเผยแพร่ข้อมูลทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น เริ่มมีการตื่นตัวและนิยมหาพระเครื่องไทยมาสะสม และตลาดจีนมีโอกาสโตเยอะมากในหลาย ๆ เรื่อง
"ผมภูมิใจในความเป็นเซียนพระ เพราะได้มีโอกาสศึกษาเรื่องราว ซึ่งพระแต่ละองค์จะมีเรื่องราวแตกต่างกันไป ถ้าเป็นพระเก่าแก่จริง ๆ จะมีไม่กี่องค์ซึ่งหายากมาก บางองค์มีอายุนับพันปี คุณค่าของพระเครื่องเป็นเรื่องของจิตใจและคนที่พร้อมซื้อเพื่อสะสม ดังนั้นตลาดพระเครื่องจึงไม่มีวันซบเซา และมีโอกาสพัฒนาได้อีกมาก"
ด้านนายวรวุฒิ กล่าวถึง Soft Power พระเครื่อง ว่า พรรคชาติพัฒนากล้า มีนโยบายเศรษฐกิจเฉดสี หาเงินเข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาทในไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเศรษฐกิจสายมู คือเศรษฐกิจเฉดสีขาว ที่จะให้งบประมาณพัฒนาสถานที่ศักดิ์สิทธิ จังหวัดละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะถือว่าเป็นตัวที่เข้ามาช่วยหารายได้เข้าประเทศ เรื่องของสายมู คนรุ่นใหม่หรือบางคนอาจมองเป็นเรื่องงมงาย หรือไสยศาสตร์ แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มาก เพราะพระเครื่องอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนานทำหน้าที่เป็นจิตแพทย์ ช่วยให้สังคมไม่เครียดมากและมีความหวัง บางครั้งอาจมีความย่ำแย่ หดหู่แต่เมื่อไปไหว้พระแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ช่วยบรรเทาจิตใจได้ นอกจากนี้ยังมองว่า วัตถุมงคลขอไทย ยังสามารถถอดแบบพิมพ์ให้สวยงามกว่าก็ได้ แต่ทั้งนี้สิ่งที่ประเทศอื่นไม่สามารถทำได้เหมือนไทย คือเรามีพระเกจิอาจารย์ ทำพิธีปลุกเสกทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ขลัง มีพุทธคุณด้านต่างๆ ซึ่งไม่มีประเทศใดสู้ได้และเป็นจุดแข็งที่จะเพิ่มมูลค่าพระเครื่องของไทย สิ่งสำคัญคือเราจะต้องบอกเรื่องราวได้ว่า พระแต่ละองค์มีประวัติและพุทธคุณแตกต่างกันอย่างไร รวมทั้งเราจะมีการออกใบรับรองกำกับว่าเป็นของแท้ผ่านการปลุกเสก และต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งถ้าหากยึดแนวทางนี้เชื่อว่าไม่เฉพาะประเทศจีนเท่านั้นที่จะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของไทยแต่ประเทศอื่นๆในเอเชียก็จะให้ความสนใจพระเครื่องของไทยเช่นเดียวกัน และเชื่อว่าหากเราพัฒนาให้ดี ไทยก็จะเป็นผู้นำในการสร้างวัตถุมงคลของโลกได้อย่างแน่นอน
"อย่างโควิดเศรษฐกิจซบเซา เสียหายทั้งประเทศ แต่ปรากฏว่าที่จ.นครศรีธรรมราช กลับมีเที่ยวบินวันละ 52 เที่ยวไปลง คนไปไหว้ไอ้ไข่ วัดเจดีย์ ซึ่งก็ไม่ทำให้เฉพาะวัดเท่านั้นที่มีรายได้ แต่ยังทำให้ พ่อค้าแม่ค้าบริเวณโดยรอบค้าขายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงมีรายได้ 4-5 แสนบาทต่อเดือน และยังทำให้สินค้า OTOP ของชาวบ้านในบริเวณดังกล่าวหายดิบขายดีไปด้วย และคนที่ไปก็ไปหาของอร่อยทานอีกทำให้มีรายได้กระจายไปทุกภาคส่วนของจังหวัด ดังนั้นความศรัทธาพาให้คนเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัด ซึ่งต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจสายมู เป็นซอฟท์พาวเวอร์อย่างแท้จริง"
นายวรวุฒิ กล่าวด้วยว่า เรื่องของวัตถุมงคล เป็นซอฟท์พาวเวอร์ที่ต่างชาติไม่มี และไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ เนื่องจากเรามีเกจิอาจารย์และพิธีพุทธาภิเษก ซึ่งราคาคนละเรื่อง เพราะมีเรื่องราวและคอนเทนท์กำกับ เชื่อว่า จาก 10 ล้านคนจะขยายเป็น 100 ล้านคนได้แน่นอนไม่เกิน 2 ปี แต่ต้องทำสตอรี่เป็นภาษาจีน เพื่อพัฒนาวงการพระเครื่องได้อีกมหาศาล แต่ทั้งก็ต้องมีมาตรฐานด้วยการออกใบรับรอง เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจว่าเป็นของแท้โดยอาจจะเชื่อมต่อจากเว็ปไซต์ที่มี
ส่วนต้อม นครสวรรค์ กล่าวถึงพระสมเด็จซื้อขายกันร้อยล้านจริงหรือไม่ว่า ต้องดูว่าพระสมเด็จองค์นั้นสมควรแก่ราคาหรือเปล่า ซึ่งจริง ๆ แล้วราคาพระสมเด็จบางองค์สูง 150 - 300 ล้านบาทแต่เจ้าของไม่ขาย เพราะเป็นองค์ตำนานมีไม่เกิน 10 องค์ในประเทศไทย พระเป็นทรัพย์สินที่จับต้องได้ โดยที่เราไม่ได้คิดไปเองว่าแพง หลายคนพร้อมจ่ายเงินเป็นร้อยล้าน และเขารอว่าเขาชอบหรือเปล่า พระเป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานานแสนนาน และราคาขึ้นมากกว่าราคาทอง ซึ่งส่วนตัวก็ภูมิใจกับคำว่าเซียนพระ