เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าที่ผ่านมาจะเคยเห็นภาพการเดินสายขึ้นเวทีหาเสียงเปิดตัวลงสนามการเมือง รวมทั้งเปิดตัวผู้สมัครของแต่ละพรรค ทั้ง “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยฝ่ายแรกเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ขณะที่ฝ่ายหลังเป็นทั้งแคนดิเดตนายกฯ และผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับ 1 ของพรรคพลังประชารัฐ แต่นั่นก็เป็นบรรยากาศแบบยังไม่เป็นทางการ แต่ภาพที่เห็นเมื่อวันเช้าวันที่ 3 เมษายน ที่ทั้งคู่ต่างนำสมาชิกพรรคของตัวเองมาสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบเขต เป็นวันแรก มาให้กำลังใจ ลุ้นจับเบอร์ผู้สมัครในกรุงเทพมหานครพร้อมกับร่วมขบวนแห่ เชื่อว่าหลายคนมองเห็น เป็นภาพที่แปลกตาไม่น้อยหากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ของทั้งสองคน
อย่างไรก็ดี จากภาพที่เห็นดังกล่าวทำให้เห็นว่าพวกเขากำลังเริ่มในเส้นทางบทใหม่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้าในเส้นทางใหม่ ที่อาจนิยามต่างกันแล้วแต่มุมมองและทัศนคติของแต่ละคนว่ามองจากฝั่งไหนและเป็นพวกของใคร บางคนอาจเห็นว่า นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตย เป็นแนวทางการสืบทอดอำนาจอีกวิธีหนึ่ง ขณะที่อีกฝ่ายกลับมองตรงข้ามก็ว่ากันไป แต่ถึงอย่างไรนี่คือกติกาที่กำหนดเอาไว้แบบนี้
แต่ภาพของ “สองป.” คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งคุยกันระหว่างรอการจับเบอร์ของผู้สมัครพรรคตัวเองในเขตกรุงเทพมหานคร น่าจะเป็นประสบการณ์ครั้งแรก ในฐานะนักการเมืองเต็มตัว ที่ต้องมาแข่งขันกันหาเสียง โดยการเดินพบปะยกมือไหว้ประชาชน ขณะเดียวกันนี่คือการเริ่มบทบาทใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว และเชื่อว่าเป็นเส้นทางที่ยากแบบรากเลือด กันเลยทีเดียว
สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่งของพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดใจถึงสาเหตุที่ไม่ลงสมัครส.ส.แบบปาร์ตี้ลิสต์ หรือบัญชีรายชื่ออันดับหนึ่งของพรรคว่า มีเจตนาส่งไม้ต่อให้กับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค หากตัวเองกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีตามกำหนดครบสองปี
โดยเมื่อเช้าวันที่ 3 เมษายน ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพ (ไทยญี่ปุ่น-ดินแดง) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมืองพรรครวมไทยสร้างชาติ และในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการปักหมุดในพื้นที่กทม. ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติส่งผู้สมัครลงทุกเขต สิ่งสำคัญต้องชี้ให้ประชาชนเห็นว่าอะไรที่เราทำไปบ้างแล้ว และ รัฐบาลที่แล้วก็ได้ทำงานร่วมกับผู้ว่าฯกรุงเทพฯมาโดยตลอด ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากมายในเฟสต่างๆ ซึ่งต้องทบทวนดูว่า สิ่งที่ทำมาแล้วมีอะไรบกพร่อง และหยุดเพราะอะไรต้องทำต่อหรือไม่ ซึ่งก็เป็นการทำงานในรูปแบบกทม. เป็นเรื่องของกระทรวงมหาดไทยและรัฐบาลจะต้องสนับสนุนดูแลให้เกิดความเรียบร้อย ฉะนั้นผมคิดว่าทุกคนทราบปัญหากันดีทั้งหมด แต่อยู่ที่ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ถ้าไม่เคยทำก็ยากหน่อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจในสนามเลือกตั้งกทม.มากน้อยแค่ไหน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ความมั่นใจคือการทำให้บ้านเมืองเรียบร้อยก่อน ต้องสงบเรียบร้อย เมื่อถามว่าแสดงว่าตอนนี้มั่นใจในสนามกทม.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็มั่นใจสิ เมื่อถามว่าคิดว่าจะได้กี่ที่นั่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าไม่รู้ ก็แล้วแต่เลือกมา จะรู้ไหมเล่า แต่ถ้าไม่เลือกก็ไม่ได้ แต่ถ้าเลือกเข้ามาเยอะ ก็ได้
นายกฯ กล่าวว่า ตนมาวันนี้ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ วันนี้มีสื่อหลายสื่อ ตนไม่สามารถขึ้นทุกเวทีได้ แต่ตอนฝากไปทุกสื่อ เราต้องรวมพลังชาติของเรา ประชาชนของเราให้เป็นหนึ่งอันเดียวกันให้ได้ ไม่ใช่เฉพาะการเลือกตั้ง ไม่ใช่ต้องจะเลือกตน แต่รวมใจคนไทยทั้งหมดให้นึกถึงชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน นั่นคือเป้าหมายของเราทุกคน ทั้งสื่อและประชาชน คนทุกรุ่น ทุกวัย ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ภายในวันเดียวหรือพลิกฝ่ามือ ไม่มีทางเป็นไปได้ ตนยืนยันตรงนี้ ตนอยู่มาหลายปีตนรู้ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และที่สำคัญอยู่ และได้ทำต่อ เพราะเราทำเป็นไง ทำเป็นแล้ว ทำได้มาขนาดนี้ แล้ว ถ้าทำไม่ได้ ทำไม่เป็น เข้ามาก็ทำไม่ได้เลย
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้กล่าวถึงการเดินทางไปร่วมดีเบต พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอดูก่อนพร้อมชูสองนิ้ว เป็นสัญญาลักษณ์สู้ศึกเลือก สำหรับความสัมพันธ์กับ พล.อ. ประวิตร ท่านก็อยู่พรรคอื่น เราสู้กันแบบการเมือง ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างดำเนินการทางการเมืองไป วันนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ส่วนหลังเลือกตั้งจะจับมือกันหรือไม่ ไม่ขอตอบตรงนี้ และไม่ต้องกังวลว่าจะหยุดแค่ 2 ปี เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติ มีแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 2 ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเข้าไปภายในอาคารกีฬาเวสน์ 2 พล.อ.ประยุทธ์ ได้นั่งคุยอย่างอารมณ์ดีกับพล.อ.ประวิตร ระหว่างรอลุ้นการจับสลากหมายเลขของว่าที่ผู้สมัครส.ส. กทม. เหมือนไม่มีความขัดแย้งอะไรเลย ซึ่งบางช่วงได้มีบรรดาว่าที่ผู้สมัคร มาขอถ่ายรูป ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ได้ทักทายอย่างอารมณ์ดี และถ่ายภาพร่วมกับบรรดาว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม.
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่า ตอนที่นั่งติดกับพล.อ.ประวิตร ได้มีการพูดคุยอะไรกันบ้างก็ได้รับคำตอบว่า ก็พูดคุยกันไป สนุกสนานกันไป เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้มาในฐานะคู่แข่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ผมไม่เห็นแข่งอะไรกับใครเลย เมื่อกี้นั่งคุยกัน ก็แหย่กันไปแหย่กันมา ท่านก็ทำของท่าน ผมก็ทำของผม แต่ให้รู้ว่าวันนี้เราอยู่คนละพรรคแล้ว ส่วนจะคิดว่าจะรวมกันวันหน้าหรือเปล่า ก็แจ้งแล้วว่าผมแยกมา แยกก็คือแยก ไม่อย่างนั้นจะมานั่งสัมภาษณ์ตรงนี้ทำไม ก็ให้พล.อ.ประวิตร สัมภาษณ์สิ พรรคผมก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร ได้โพสต์ ตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีต้องลง ส.ส.บัญชีรายชื่อถึงจะสง่างาม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป ผมมองในเรื่องของการให้โอกาสคนอื่นเขาขึ้นมาเป็นบ้าง ก็เลยให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 เพราะมีผลกับการอยู่ 2 ปีของผม หลายคนถามว่าผมอยู่ 2 ปี แล้วจะเป็นยังไง ก็นั่นไงคือคำตอบ ซึ่งเป็นตัวเลือกในการเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งต่อไป ถ้าผมได้อยู่ 2 ปี ก็จะมีคนสานต่อตรงนี้ ทุกอย่างมันคือยุทธศาสตร์ ยุทธศาสตร์ระยะยาวไป
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวภายหลังเดินทางให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส. กทม. แบบแบ่งเขตของพรรคพลังประชารัฐว่า ไม่มีหมายเลขนำโชคใดๆ และตนเองไม่กังวลใจใดๆกับการส่งผู้สมัคร และเชื่อมั่นในส่วนของลูกพรรค
ส่วนการพูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระหว่างรอให้กำลังใจผู้สมัครนั้น ไม่มีอะไรมาก ให้ไปสอบถามพล.อ.ประยุทธ์ แต่ได้มีการพูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ์มาโดยตลอด และย้ำความสัมพันธ์ กับพล.อ.ประยุทธ์ ยังดีอยู่
จากภาพที่เห็น แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของ “พี่น้องสองป.” ถือว่ายังไม่ได้หมางเมิน ตรงกันข้าม ยังถือว่าทุกอย่างยังโอเค โดยเฉพาะความสัมพันธ์ ที่เชื่อมโยงไปถึงอนาคตหลังเลือกตั้ง ที่ทั้งคู่มีโอกาสสูงมากที่จะกลับมาร่วมมือกันตั้งรัฐบาลกันอีกครั้ง แม้ว่าในครั้งนี้จะมีบทบาทในรายละเอียดที่แตกต่างไป และอาจมองว่าเป็น “คู่แข่ง” กันในสนามเลือกตั้ง เนื่องจากทั้งสองพรรค มีฐานเสียงในกลุ่มเดียวกัน แต่อย่างที่ทั้งคู่ได้ยืนยันไว้แล้วก็คือ ถึงเวลาต้องแข่งขันกันเต็มที่ก็ตาม
เอาเป็นว่านาทีนี้หากโฟกัสเฉพาะ “สองป.” ที่เพิ่งเริ่มบทบาทใหม่ในทางการเมืองเส้นทางใหม่ที่ทั้งคู่ต่างลงสัมผัสการเลือกตั้งแบบเต็มตัว ตามหลักการประชาธิปไตยแม้ว่าในอนาคตผลข้างหน้าจะมีบทสรุปแบบไหนก็ตาม แต่ถึงอย่างไร มันก็มีแนวโน้มสูงไม่น้อยที่พวกเขาจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลร่วมกันอีกครั้ง เพียงแต่ว่ามันเหนื่อย “รากเลือด” แน่นอน !!