เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแล้วสำหรับวาระการเปิดประเด็นที่เจ้าของฉายาจอมแฉเมืองไทย"ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์"นำมาเปิดโปง โดยต้องยอมรับว่าบางเรื่องราวนั้นชูวิทย์ขยับจนได้ผล เช่น ทุนจีนสีเทา,บ่อนพนัน,ตำรวจบางนายที่ทุจริต
แต่บางวาระที่ชูวิทย์ขยับ อาทิ การแฉกรรมการปปช.บางคนโดยไร้หลักฐาน,การทุจริตโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ,พรรคและนักการเมืองของบางพรรคมีข้อครหาที่น่าสงสัย หรือล่าสุดการปะทะกับสันธนะ ประยูรรัตน์และษิทรา เบี้ยบังเกิดเรื่องเงิน6ล้านบาทของสารวัตรซัวที่มีอดีตพล.ต.ต.และพ.ต.ท.ในปัจจุบันเข้ามาพัวพันและสร้างประเด็นดราม่าได้แทบทุกวินาที
และตอนนี้เริ่มปรากฏ"ความจริงที่ซ่อนไว้"ของจอมแฉเมืองไทยว่ามีเงื่อนงำใดในแต่ละเรื่องที่ชูวิทย์"ขยับ"บ้าง...
อย่างน้อยตอนนี้ประเด็นหนึ่งที่ชูวิทย์ปูดและปั่นกระแสขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อนคือการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มนั้น ตอนนี้ชัดแล้วว่า ช่วงเช้าวันที่30มี.ค.2566 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเป็นให้ยกฟ้องในคดีที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) จากกรณีมีมติในคราวประชุม เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2564 ที่เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนตามโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ลงวันที่ 3 ก.ค. 2563 และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าว
โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า มติของคณะกรรมการคัดเลือกตามการประชุม ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 3ก.พ.2564 ที่เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ลงวันที่ 3 ก.พ. 2563 และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าว และเพิกถอนประกาศของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เรื่อง ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนตามประกาศเชิญชวนดังกล่าว ลงวันที่.3ก.พ. 2563 สามารถทำได้ เพราะการกระทำดังกล่าวไม่เป็นการเอื้อต่อเอกชนรายใดเป็นการเฉพาะ ไม่ได้กระทำตามอำเภอใจ และผู้ถูกฟ้องทั้งสองดำเนินการโดยยึดเป้าประสงค์ตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐเอกชน 2562 จึงถือว่าเป็นการกระทำโดยสุจริตไม่เลือกปฏิบัติ และชอบด้วยกฎหมาย
เท่ากับว่าการเขย่าประเด็นนี้ของ"ชูวิทย์"ที่เคยออกมาแฉในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่า มีความไม่ชอบมาพากลอยู่หลายจุดที่ส่อแววทุจริตสำหรับโครงการนี้ และเมื่อศาลมีคำวินิจฉัยในวันนี้นั้น "ทุกอย่างควรยุติ"และเดินหน้าโครงการนี้ที่ล่าช้ามาหลายปี
และควรตั้งข้อสังเกตดีๆว่า ที่ผ่านมาจอมแฉถือ "ข้อมูลทิพย์หรือไม่..."กับออกมาขยับลีลาในกรณีนี้จนเกิดความสับสนไปทั่วทุกวงการ เพราะผลการประมูลรอบที่ 2 ออกมาแล้วว่า BEM คือผู้ชนะ แต่ตอนนั้นชูวิทย์ปั่นกระแสว่า การให้เอกชนที่คุณสมบัติขัดแย้งกับกฎหมายผ่านการพิจารณา ,เงินส่วนต่างถึง 6.8 หมื่นล้านบาทที่ต้องเสียผลประโยชน์ไปหากเทียบกับการประมูลครั้งแรก(ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพราะไม่มีการประมูลในครั้งนั้น)และเป็นตัวเลขที่ชูวิทย์อ้างตัวเลขของเอกชนที่ยื่นซองประมูลครั้งแรกเสนอราคาที่รัฐต้องสนับสนุนถูกกว่าว่าสิบเท่า ตัวเลขนั้นมาจากไหนเมื่อมันไม่มีการประมูล,การอ้างว่าโครงการนี้มีเงินทอน3หมื่นล้านบาทไว้ให้บางพรรค รวมทั้งปูดว่ามีบัญชีธนาคาร HSBC ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นของผู้ใด บัญชีเลขที่ อะไร และมีชื่อผู้ใดเป็นผู้โอนเงิน โดยจอมแฉเมืองไทยอ้างว่าข้อมูลเหล่านี้ยื่นให้นายกรัฐมนตรีไปตรวจสอบแล้ว
แถมยังเฉไฉไปเรื่อยว่า"ข้อมูลเหล่านี้ โดยเฉพาะเงินทอนนั้นยังไม่มีการจ่ายเพราะโครงการยังไม่เริ่ม ใครจะจ่ายก่อน"
หากให้ประเมินแล้วราคาของจอมแฉเมืองไทยในตอนนี้"ลดลงไปหลายดีกรี"เพราะเมื่อศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยประเด็นที่ชูวิทย์ปั่นกระแสแล้วว่า"ยกฟ้อง" บวกกับการรับเงินสีเทา6ล้านบาทจากทีมงานสารวัตรซัวโดยนำไปมอบให้สองโรงพยาบาล(ศิริราชและธรรมศาสตร์)จนมีการส่งคืนเงินดังกล่าวให้ชูวิทย์แล้ว และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะรับเงินก้อนนี้ไว้เป็นของกลาง โดยจะเรียกจอมแฉเมืองไทย,ทนายตั้มและสันธนะมาให้ข้อมูลที่แท้จริง แต่ที่ชัดเจนชั้นหนึ่งคือเงินของสารวัตรซัวที่มอบให้ชูวิทย์นั้นจอมแฉยอมรับว่า เป็นเงินของสารวัตรซัวเพื่อขอให้ยุติการโจมตีบ่อนออนไลน์ เท่ากับว่าชูวิทย์ยอมรับว่าเป็นเงินผิดกฎหมายที่รับมา แม้จะอ้างว่าเอาไปบริจาคแล้วก็ตาม ตรงนี้คือการยอมรับของจอมแฉเมืองไทยด้วยตัวเองว่ารับเงินสีเทาและต้องไล่เบี้ยว่ามีความผิดอาญาฐานฟอกเงินตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือไม่
ผนวกกับการลุยผุด "10th Avenue" บนที่ดินสวนชูวิทย์จำนวนหกไร่ ปากซอยสุขุมวิท10ที่ชูวิทย์แจ้งว่ายกให้เป็นสาธารณะประโยชน์ชั่วคราวในช่วงที่มีการต่อสู้คดีรื้อบาร์เบียร์ โดยเวลา 12 ปีที่ผ่านมาไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่บริเวณนี้เลย และจนถึงขณะนี้ ที่ดินยังเป็นของชูวิทย์ มีหลักฐานการเสียภาษีชัดเจน ซึ่งเมื่อเดือนสิงหาคม-กันยายน 2565 เพิ่งชำระภาษีที่ดินไปเป็นเงินกว่า 2,250,000 บาทซึ่งยังเป็นข้อกังหาว่าการยกที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น การอุทิศที่ดินให้ใช้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน อาจกระทำโดยแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยาย ที่ดินนั้นย่อมตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทันทีที่แสดงเจตนาอุทิศ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1304 ไม่จำต้องจดทะเบียน และพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องแสดงเจตนารับและมีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาไว้หลายคดีเป็นบรรทัดฐาน
เมื่อประมวลหลากเส้นทางที่ชูวิทย์เผชิญอยู่ในตอนนี้คล้ายว่าเส้นทางของจอมแฉเมืองไทยเริ่มเข้าสู่มุมอับตีบตันไปเรื่อยๆ