ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ใครโกง-กูชก! “Chuweed” ชกตัวเองก่อนอ๊ะป่าว? “เทนธ์ อเวนิว” ที่ “ชูวิทย์” อ้างกรรมสิทธิ์ แท้ที่จริงต้องเป็นของหลวง!!
ความเคลื่อนไหวของ “Chuweed” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตอนนี้ต้องบอกว่า แสงในตัวชักจะอ่อนแรงลง หรือคนติดตามเดามุกออก จับทางได้ เบื่อ “ละครลิง” ที่หาสาระความจริงไม่ได้ เลยพยายามจะพุ่งเข้าหาแสงใหม่ ที่ที่มีผู้คนมาชุมนุมเป็นจำนวนมากเพื่อเลี้ยงกระแสตัวเองไม่ให้สังคมลืม
นี่ก็เห็นประกาศเตรียมจะบุกไปดูการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก นัดชี้ชะตาตัดสินแชมป์คู่ระหว่าง “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” มา เยือน “ทรู แบงค็อก” ที่สนามกีฬารังสิต ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต
ใครๆ ก็รู้ว่าทีม “ปราสาทสายฟ้า” นั้นมี “เนวิน ชิดชอบ” เป็นแม่ทัพใหญ่ ปลุกปั้น สร้างนักเตะและพัฒนาทีมจนกลายเป็นทีมฟุตบอลที่ไม่อายใครในระดับเอเชีย ไม่มีการเมืองไปเกี่ยวข้อง ... กีฬาล้วนๆ
“ชูวิทย์” จะไปทำอะไร? ไม่ต้องสงสัย ก็ตั้งใจไปป่วน และอยากเผชิญหน้า “เนวิน” ให้เป็นประเด็น ให้ตัวเองอยู่ในหน้าสื่อ เพราะร้อยวันพันปีก็ไม่เคยสนใจเข้าดูฟุตบอล แต่จู่ๆ อยากจะดูซะงั้น เด็กอนุบาลก็ดูออกว่า เจตนาของอดีตเจ้าของอาบอบนวดรายนี้ ต้องการอะไร
หิวแสง หาแสง อ้างจะเข้าไปเชียร์ โดยไม่เอาการเมือง หรือปัญหานอกสนามของพรรคการเมืองใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง พูดในทำนองอวดเก่ง “คนอย่างผมเหรอ ผมไม่กลัวหรอก ไปแค่บุรีรัมย์ ไปวันที่ 4 เม.ย.นี้ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เปิดบ้านพบ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผมจะไปยืนเชียร์ มันจะผิดอะไร ผมไม่เอาการเมืองเข้าไปสู่กีฬา ผมไปแจกเรื่องคอร์รัปชัน โนคอร์รัปชัน”
ใครจะเชื่อก็เชื่อไป แต่ก็อยากจะขอร้องว่า ให้ชม “ละครลิง” เพื่อความบันเทิงให้สนุกแล้วกลับมาดู “ความเป็นจริง” กันบ้าง
เพราะ “ความจริงมีหนึ่งเดียว” ที่ชูวิทย์ ไม่พูดถึง และสังคมอาจจะหลงลืมไปแล้ว มีอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง “สวนชูวิทย์” สวนสาธารณะที่ชูวิทย์เคยยกให้คน กทม.นั่นไง
ฟังว่า ตอนนี้มีข่าวแพร่สะพัด อดีตกำลังจะไล่ล่าทวงสัญญาแห่งความจริงที่ “ชูวิทย์” เคยสัญญาไว้
งานนี้ย่อมต้องหมายถึง “คดีรื้อบาร์เบียร์” บริเวณสุขุมวิท ซอย10 เมื่อปี 46 ที่ “ชูวิทย์” เป็นหนึ่งในผู้ต้องหา โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องผู้ต้องหาเกือบทั้งหมด แต่ศาลอุทธรณ์ตัดสินโทษจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา ต่อชูวิทย์
ที่สุดแล้วคดีนี้ผ่านเวลานานกว่า 13 ปี ศาลฎีกาพิพากษาในเดือน ม.ค. 59 ตัดสินลงโทษจำคุกชูวิทย์ และพวก 5 ปี แต่ภายหลังเหลือ 2 ปี ศาลฎีกาพิพากษาแก้โดยเห็นว่า หลังเกิดเหตุ “ชูวิทย์” กับพวกได้ร่วมกับจำเลยอื่นๆ ชดใช้ค่าเสียหาย
พร้อมๆ กับ เงื่อนไขสำคัญ คือ มีการนำที่ดินพิพาท ไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปใช้ได้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก
บ่งบอกว่า จำเลย คือ “ชูวิทย์” ตอนนั้นรู้สึกสำนึกผิด นับว่ามีเหตุให้ปราณี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม พิพากษาแก้ จากจำคุก 5 ปี ให้เหลือแค่ 2 ปี ไม่รอลงอาญา
ต่อมาที่ดินผืนดังกล่าว ซึ่งนำไปยื่นศาล ใช้ลดโทษนั้น ถูกนำไปสร้างเป็นสวนสาธารณะ เรียกว่า “สวนชูวิทย์” เป็นไปตามเงื่อนไขที่ให้ไว้ต่อศาล ที่จะยกที่เป็นสาธารณประโยชน์
นั่นคือ อดีต!! แต่ล่าสุด สวนดังกล่าวไม่มีแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่า พื้นที่ตรงนั้นตอนนี้กำลังถูกพลิกโฉมเป็น “โครงการมิกซ์ยูส” ขนาดใหญ่ ที่ความสูง 51ชั้น ไม่รวมชั้นใต้ดิน ภายใต้ชื่อ “เทนธ์ อเวนิว”
ประเมินว่า จะสร้างมูลค่าให้กับที่ดินผืนนี้ ไม่ต่ำกว่า “หมื่นล้านบาท”
ว่ากันว่า การก่อสร้างใช้เวลาก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 4 ปี นับจากปี 2565 พัฒนาและบริหารการขายในนาม “DAVIS CORPORATION” และบริษัท เอเทนธ์ อเวนิว จำกัด ของ “ตระกูล กมลวิศิษฎ์” เจ้าของที่ดิน
ประเด็น ปัญหาที่มีการถกเถียง คือ การใช้ที่ดินดังกล่าวจากการเป็น “สวนสาธารณะ” แล้วนำมา “หาประโยชน์เชิงพาณิชย์” อาจจะเป็นการละเมิดกฎหมาย หรือไม่ ?
ต้องไม่ลืมว่า เพราะเพียงการให้การต่อศาล ยกที่ดินเป็นสาธารณะ ก็เท่ากับเป็นการ “ยกที่ดินให้รัฐแล้ว”
ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 9/2538 ฉบับย่อ ระบุว่า “การอุทิศที่ดินให้ใช้เป็นสาธารณะ เป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ไม่ต้องจดทะเบียนการให้ต่อเจ้าหน้าที่ ตาม มาตรา 525 ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย”
นี่ถือเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา หากมีการนำเรื่องนี้ไปร้องศาล จะเกิดอะไรขึ้นกับ โครงการ “เทนธ์ อเวนิว” หรือ ผู้เกี่ยวข้องที่อนุญาตให้ก่อสร้าง อาทิ กรุงเทพมหานคร
“ชูวิทย์” จะทำบ้าบอ เที่ยวไล่ฟัดใครต่อใคร ก็ว่ากันไป จะไปบุรีรัมย์ จะไปเป็นกองแช่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปะหน้า เนวิน ก็ทำไป ที่อุตส่าห์คิดแคมเปญโอ้อวดเป็น “นักสู้เพื่อประชาชน” ใครโกง กูชก! ตอนนี้น่าจะต้องกลับมาดูบ้านตัวเอง และที่ดินของตัวเองก่อนมั้ย? แฉความจริงให้คนกทม. รู้หน่อยว่า "สวนชูวิทย์" ไปไหน ประโยชน์สาธารณะที่ตรงไหน ...งานนี้เอาดีๆ Chuweed ต้องถึงขั้นตีอกชกตัว อ๊ะป่าว!!
**แฉไปไถไป!! ไถสีเทามา 50 ล้าน! “ทนายตั้ม” ปล่อยทีเด็ด ถึงใครหนอ? คนที่เห็นอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด!!
กลายเป็น “ไวรัล” อย่างรวดเร็ว เมื่อทนายความคนดัง “ษิทรา เบี้ยบังเกิด” หรือ “ทนายตั้ม” โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดประเด็นเป็นปริศนา ด้วยภาพธนบัตรชำระหนี้ได้ตามกฎหมายปึกใหญ่ ใส่ในถุงกระดาษสองถุงพร้อมกับแคปชั่น สั้นๆ “แฉไป ไถไป”
ปรากฏว่า มีคนเข้ามาแสดงความเห็นกันคึกคัก และแชร์ต่อๆ กันเป็นจำนวนมาก ทายกันไปต่างๆ นานา ว่าใครหว่า
และเชื่อว่า การออกมาเปิดประเด็นครั้งนี้ของ “ทนายตั้ม” ไม่ธรรมดา “นักแฉที่ว่าจะเป็นใครไม่รู้ แต่ที่ไม่ต้องรู้ ก็เชื่อถือได้คือ เคสนี้ทนายมีพยานหลักฐาน แน่นตึ้บ”
ขณะที่เจ้าตัวทนายตั้ม ได้เข้ามาตอบคอมเมนต์เหมือนบอกใบ้เพิ่มในเวลาต่อมา เช่น “คนที่คุณเห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด หมดศรัทธา”
“ไถสีเทามา 50 ล้าน บริจาคเอาหน้า ที่ละ 3 ล้าน สร้างภาพกลับตัวกลับใจ ผมไม่อยากสวนกระแสนะครับ ผมก็เป็นคนนึงที่ชื่นชมมาตลอด แต่พอรู้ความจริงแล้วมันหมดรักเลยจริงๆ ผมไม่อยากให้มีอาชีพแบบนี้ สร้างประเด็นข่าว ตีๆ แล้วไถ ใครยอมจ่าย ก็ไม่พูดถึง เราจะยกย่องคนแบบนี้เป็นฮีโร่จริงหรือครับ”
“คนที่บอกว่ารวยแล้วไม่เอาเงินแค่นี้ คิดใหม่นะครับ ยิ่งรวยยิ่งโลภ ถ้าวันนี้ผมมีเงินพันล้าน คุณเอามาให้ผมฟรีๆ ย้ำว่า ฟรีๆ ซัก 10 ล้าน จะไม่เอาหรือครับ ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องทำไร คนรวยไม่ใช่พระนะครับ จะได้ไม่ต้องใช้เงิน”
“ผมเคยชื่นชมคนๆ นี้ ถึงกับบอกคนใกล้ตัวเลยว่า พี่เขาดีจริงๆ เงินคงทำอะไรไม่ได้ แต่พอรู้ความจริง โอ้โห มึงนี่โคตรเลวกว่าใครอีก”
นี่ก็เป็นโพสต์สุดฮอตที่ “ทนายตั้ม” เปิดประเด็น โดยมีคนเข้ามากดไลก์ กดแชร์ เรื่อยๆ
ส่วน “คนดีย์ที่โคตรเลว” จะเป็นใคร ใช่ที่ทายๆ กันหรือไม่ ก็ต้องติดตามคำเฉลยจากทนายคนดังต่อไป แต่สำหรับคนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารมาต่อเนื่อง น่าจะเดาออกแล้วว่า ใครที่ “แฉไป ไถไป” ยิ่งบอกว่าตัวเองรวยแล้วครับไม่เงินใคร ไม่รับงานใคร บีบวงแคบมา เดาไม่ยากหรอกเคสนี้ หึหึ
**“ลุงตู่” ยังกั๊กลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ทั้งที่ลูกพรรคเชียร์สุดลิ่ม เหตุหากพลาดเป็นฝ่ายค้าน คงทำตัวไม่ถูก ต่างจาก “ลุงป้อม” ที่รับทั้งหัวหน้าพรรค-ลงสมัคร ส.ส. เพราะแบเบอร์ ได้ร่วมรัฐบาลแน่นอน
มือลั่นไปหน่อย “พูน แก้วภราดัย” ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่อยากโพสต์อวยพร “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ปธ.คณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 69 ปี 21 มี.ค.ที่ผ่านมา
แต่ดันระบุข้อความว่า “ลุงตู่ ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 รวมไทยสร้างชาติ” จนมีผู้เข้าไปแสดงความเห็น และแชร์ต่อจำนวนมาก พอเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา จู่ๆ เจ้าตัวก็ลบโพสต์หายไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนที่จะมาโพสต์ข้อความชี้แจงว่า
“สวัสดีครับ กระผม นายพูน แก้วภราดัย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต1 นครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ ขออนุญาตใช้โพสต์นี้แสดงความขอโทษจากใจ ต่อพี่น้องประชาชน รวมถึงสมาชิกในพรรค และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทางเพจของผมได้เผยแพร่ข้อมูล ที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากทางพรรค จึงได้ทำการโพสต์อวยพรวันคล้ายวันเกิด พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยภาพที่ได้ทำการบันทึกมาจากอินเทอร์เน็ต มีข้อความในภาพว่า “ลุงตู่ ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ” โดยคำกล่าวอ้างดังกล่าว ยังไม่ได้รับการยืนยัน และยังไม่เป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ กระผมขออภัย สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยทำให้หลายๆ ท่านได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอยู่ในขณะนี้ครับ
ทั้งนี้ “พูนและทีมงาน” จะระมัดระวัง คัดกรองข่าวสาร และตรวจสอบข้อมูลต่างๆก่อนที่จะทำการเผยแพร่ในอนาคตมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชน ว่าจะได้รับข้อมูลและข่าวสารที่ถูกต้องจากทางช่องทางของนายพูน แก้วภราดัย ในทุกๆช่องทางครับ”
แม้จะอ้างว่า ไปเซฟรูปในโลกโซเชียลฯ มาโพสต์แบบไม่กลั่นกรองให้ดีก่อน แต่ด้วยความที่ “พูน” เป็นลูกชายของ “ป๋าน้อย” วิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถือเป็นระดับวงในคนหนึ่งของ “ค่ายลุงตู่” ก็ทำให้สิ่งที่ “พูน” โพสต์ไว้ก่อนลบไปนั้น น่าสดับรับฟังขึ้นมาทันที
เพราะเชื่อว่า ลูกพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็หวังใจให้ “ลุงตู่” ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในคราวนี้ด้วย นอกเหนือจากการเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” เพียงอย่างเดียว เพื่อสร้างความแตกต่างแบบ “พิเศษใส่ไข่” จากการเลือกตั้งปี 2562 ที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ แต่ไม่ได้สมัครสมาชิกพรรค และไม่ได้ลงสมัคร ส.ส.
ที่ผ่านมา ก็มีเสียงเรียกร้องจากลูกพรรคว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ ที่ “พล.อ.ประยุทธ์” โดดลงถนนสายการเมืองเต็มตัวกว่าเดิม โดยสมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช. และมีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมือง ที่พูดได้ว่า เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มตัว ก็น่าจะลงสมัคร ส.ส. อยู่ในบัญชีรายชื่ออันดับ 1 ของพรรคไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
ด้วยหากว่า “บิ๊กตู่” ตัดสินใจลงสมัคร ส.ส. ก็แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งน่าจะเรียกคะแนนให้กับพรรคได้มากกว่าที่คาด
อีกทั้งการได้เป็น “ผู้แทนราษฎร” ก็เป็นสิ่งน่าภาคภูมิใจ แล้วยิ่งถ้าไปได้ตามเป้า เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย โดยที่มีสถานะเป็น ส.ส.ในระบบรัฐสภาด้วย ก็ยิ่งน่าภาคภูมิใจเป็นเท่าทวีคูณ
อาจจะลบล้างครหาการเข้าสู่อำนาจด้วย “วิธีพิเศษ” ที่ถูกค่อนแคะมาตลอดกว่า 8 ปีได้อย่างหมดจด
และเชื่อแน่ว่า ที่ผ่านมา ในกลุ่ม “วงใน” คงมีการพูดถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการลงสมัคร ส.ส.ของ “บิ๊กตู่” รวมไปถึงหยั่งเชิงกับเจ้าตัวกันพอสมควร ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับ “พล.อ.ประยุทธ์” ว่า จะลงสมัครหรือไม่เท่านั้น และหากเลือกลงสมัครจริง ด้วยฐานเสียง-คะแนนนิยม ก็คงส่งให้เป็น “ส.ส.ตู่” ได้แบบลอยลำ
ทว่า แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีมา 8 ปีกว่า จนติดเบอร์ต้นการครองเก้าอี้นายกฯไทยแล้ว แต่สำหรับบทบาท “ผู้แทนราษฎร” ถือเป็นของใหม่ที่ “บิ๊กตู่” ไม่เคยสัมผัส
ที่ผ่านมา ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร วิพากษ์วิจารณ์กันว่า “นายกฯ ตู่” มีส่วนร่วมกับฝ่ายนิติบัญญัติในระบบรัฐสภา น้อยมาก ถึงน้อยมากที่สุด เข้าร่วมประชุมสภาผ็แทนราษฎร เฉพาะวาระสำคัญอย่างการแถลงนโยบาย การพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติเท่านั้น เรื่องกระทู้ถาม หรือญัตติด่วน ไม่เคยย่างกราย มามีส่วนร่วมแต่อย่างใด
หากนั่งอยู่ในใจ “ลุงตู่” ก็ต้องบอกว่า คงลังเลใจไม่น้อย แม้ตำแหน่งผู้แทนฯ จะทรงเกียรติ แต่ด้วยความที่กระแส พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้เปรี้ยงปร้าง สุ่มเสี่ยงที่จะไม่ชนะเลือกตั้ง และอาจถึงขั้นได้ไม่ถึง 25 เสียง หมดโอกาส เสนอชื่อนายกฯ ในที่ประชุมรัฐสภา
เข้าอีหรอบนั้น ก็คงไม่พ้นที่จะต้องไปเป็นฝ่ายค้าน นึกภาพแทบไม่ออกว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ไปทำหน้าที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน จะเป็นอย่างไร สู้อยู่ในโหมด “ลอยตัว” รอคนอัญเชิญขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพียงอย่างเดียวเหมือนเดิมน่าจะดีกว่า
มองแง่ร้าย หากแพ้เลือกตั้ง ไม่ได้เป็นรัฐบาล “บิ๊กตู่” ก็คงต้องลาโรง กลับบ้านไปพักผ่อน ถึงวันนั้นก็คงไม่อยากมีตำแหน่ง ส.ส.ค้ำคอให้วุ่นวาย
ปัจจัยการตัดสินใจของ “น้องตู่” จึงอาจจะต่างจาก “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ขณะนี้แนวโน้มจะเป็นทั้งแคนดิเดตนายกฯ เพียงหนึ่งเดียว พ่วงด้วยผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 ของพรรคพลังประชารัฐ
ด้วยความที่สถานะของ “บิ๊กป้อม” ยืดหยุ่นมากกว่า แม้จะล็อกเป้าอยากเป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศ แต่หากไม่ถึงฝั่งฝัน ก็มีการวิเคราะห์ตรงกันทุกสำนัก ว่า “ค่ายลุงป้อม” ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล 99%
ถึงไม่ได้เป็นนายกฯ ก็คงไม่ได้แค่เป็น “ส.ส.ป้อม” ยังมีบทบาท “ผู้จัดการรัฐบาล” แบ่งเค้กจัดสรรประโยชน์ให้ลงตัว ตามจดหมายน้อย ที่ปูทางขอเป็น “โซ่ข้อกลาง” ไว้ หรือเก้าอี้รองนายกฯ รัฐมนตรี กระทรวงที่เหมาะสม ก็เปิดกว้างรอ “พล.อ.ประวิตร” อยู่
ขณะที่ “บิ๊กตู่” ถ้าไม่ได้เป็นนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็คงต้องไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ค่อนข้างชัวร์!!
ตรงนี้คือความต่างระหว่าง “ลุงตู่-ลุงป้อม” ที่ส่งผลให้การตัดสินใจทางการเมืองดูจะแตกต่างกันด้วย ทำนองเดียวกับการรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ของ “พี่ป้อม” ขณะที่ “น้องตู่” ก็มีการเสนอให้เป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่จนถึงขณะนี้ เจ้าตัวก็ยังไม่รับตำแหน่งให้รุงรังตัวเอง
อย่างไรก็ดี การที่ “พูน” ลูกชาย “วิทยา” ที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อการพรรครวมไทยสร้างชาติ มือลั่นโพสต์ออกมา ก็น่าจะคะเนทิศทางการตัดสินใจของ “ลุงตู่” ได้พอสมควร
ถึงวันนี้ก็ยังพอมีเวลาให้ลุ้นว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะสนใจเป็น “ส.ส.ตู่” ประดับเกียรติประวัติหรือไม่!!