xs
xsm
sm
md
lg

พูดไม่เก่ง แต่ใจใหญ่! “บิ๊กป้อม” ร่ายยาว “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ต้นเหตุเกิดจากสภา ลามสู่ถนน วอนขอให้เชื่อมั่น พร้อมคัดนโยบายทุกพรรค มาทำเพื่อประโยชน์ ปชช.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ประวิตร” สรุป “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ต้นเหตุเกิดจากสภา ลามสู่ถนน วอนประชาชนให้เชื่อมั่น “พูดไม่เก่ง แต่ใจใหญ่” พร้อมคัดนโยบายทุกพรรค มาทำเพื่อประโยชน์ประชาชน เชื่อระบอบประชาธิปไตย-รับเสียงข้างมาก แก้อดีตล้มเหลว

วันนี้ (15 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพจเฟซบุ๊ก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้โพสต์ข้อความบทสรุป “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ว่า ทีมงานได้วิเคราะห์ให้ฟังว่า จดหมายทั้ง 5 ฉบับ ไม่มีใครโต้แย้งในสาระสำคัญในเรื่องของเนื้อหา จากสื่อและสังคม แต่ก็มีสื่อบางคนตั้งคำถามว่า จะทำได้หรือไม่ นั่นก็แปลว่า หากทำได้ก็จะเป็นผลดีต่อประเทศ สื่อบางคนบ่นว่า ยาวไปหน่อย ก็ต้องตอบว่าสังคมโดยทั่วไป มีทั้งผู้เข้าใจและไม่เข้าใจ รวมทั้งสื่อเองก็อาจจะมีความเข้าใจแตกต่างกัน ระหว่างสื่อที่ทำข่าวการเมือง กับสื่อเศรษฐกิจหรือสื่อกีฬา ทีมงานจึงต้องระมัดระวังเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมโดยทั่วไป

ทีมงานจึงขอให้ผมใช้วิธีการสื่อสารด้วยเฟซบุ๊ก จะอธิบายได้ดีกว่า ชัดเจนกว่า เพราะหากทำในสิ่งที่ไม่ถนัด คือ การให้สัมภาษณ์ ซึ่งเป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว อาจจะถูกตีความหมายผิดไปจากที่ต้องการสื่อสาร และจะต้องมาตามแก้ไขในภายหลัง ซึ่งไม่เป็นผลดีแต่อย่างใดสำหรับการเมือง และสำหรับความคิดของที่ต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า จดหมายฉบับนี้ เป็นบทสรุปสู่ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ซึ่งอธิบายไปแล้ว ว่า ปัญหาความไม่เข้าใจในเรื่องของแนวคิด ของฝ่ายอนุรักษนิยม กับ ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม มีมาอย่างยาวนาน แล้วยังวนเวียนอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องความไม่เข้าใจในเรื่องที่มาของปัญหา ว่าเกิดมาจากอะไร ทีมงานจึงถือโอกาสนี้อธิบายให้เข้าใจ ว่าประเทศไทยเลือกที่จะปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การปกครองด้วยเสียงข้างมาก ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชนจะถือว่า เป็นมติของประชาชน ส่งผลให้ผู้สมัครคนนั้นได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและหากพรรคใดรวมเสียงข้างมากได้ ก็จัดตั้งรัฐบาลในสภา เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ในหลักการ นับได้ว่าสภานี้เป็นสภาของประชาชน ไม่ใช่เป็น สภาของนักการเมือง เมื่อสภาเป็นของประชาชน การใช้เสียงข้างมากเพื่อหาข้อยุติในความเห็นต่าง บนผลประโยชน์ของส่วนรวม จึงเป็นเรื่องปกติไม่นับว่าเป็นความขัดแย้ง

พล.อ.ประวิตร ระบุต่อว่า ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการใช้มติของเสียงข้างมากในสภา บนผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องแล้วไปอ้างว่าเป็นมติพรรค จึงไปฝืนความรู้สึกของ มติประชาชนที่เห็นต่าง และมีการทักท้วงจากสื่อและสังคมในกรณีที่ขัดแย้งกัน ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่สภาไม่ฟังทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าสภาไม่ใช่เป็นของประชาชนอีกต่อไปแต่เป็นสภาของนักการเมือง จะเอาเป็นที่พึ่งต่อไปไม่ได้แล้ว ประชาชนก็ตัดสินใจออกมาต่อต้าน มติของสภาและขับไล่รัฐบาล โดยไม่คิดแก้ไขตามกลไกของประชาธิปไตยคือรอให้มีการเลือกตั้ง จึงทำให้เหตุการณ์ลุกลาม กลายเป็นวิกฤตที่ทำให้ฝ่ายทหารต้องนำกำลังออกมาเพื่อยุติปัญหา เท่ากับว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมกลับเข้ามาควบคุมอำนาจอีกครั้งหนึ่ง นี่คือสิ่งที่ทีมงานพยายามอธิบาย ครั้งแล้วครั้งเล่าให้ผมฟังเพื่อให้เข้าใจว่า ที่มาของปัญหาเกิดจากภายในสภาแต่มาจบกันนอกสภา

พล.อ.ประวิตร ระบุต่อว่า หลังจาก ฝ่ายอนุรักษนิยมควบคุมอำนาจได้ แต่พ่ายแพ้ทุกครั้ง เมื่อการได้อำนาจต้องผ่านการเลือกตั้ง ในทางตรงข้าม ฝ่ายประชาธิปไตย แม้จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ที่เป็นเสียงส่วนใหญ่เสมอ แต่พิสูจน์แล้วว่าไม่มีพลังพอที่จะต้านทานการเข้ามาควบคุมจากกลไกที่มีอำนาจอย่างแท้จริง ต่อโครงสร้างอำนาจของประชาชน เมื่อประเทศต้องอยู่ในสถานะที่ ผู้ล้มเหลวทั้งสองฝ่าย ต่างผลัดเข้ามาควบคุมอำนาจ อาการหมดสภาพที่จะก้าวต่อไปสู่ความเจริญจึงเกิดขึ้นกับประเทศของเรา

พล.อ.ประวิตร ระบุต่อว่า นโยบายของแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกัน ผู้นำทั่วโลกของแต่ละยุคแต่ละสมัยต่างก็ปรับเปลี่ยนนโยบาย ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์ ในช่วงเวลานั้นๆ การเมืองไทยก็เช่นกัน นโยบายในการบริหารประเทศของแต่ละพรรค การเมืองที่ต่างก็กำลังเสนอออกมาในขณะนี้ นับได้ว่าเป็นนโยบายที่ดีเพราะกลั่นกรอง มาจากบุคลากรชั้นนำของแต่ละพรรค แต่เป็นที่น่าเสียดายหากนโยบายเหล่านั้นจะไม่ได้รับการนำไปใช้เพราะ ต้องไปเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

“ผมตั้งใจว่า เมื่อพรรคผมเป็นรัฐบาล จะตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก นำนโยบายดีๆ ของทุกพรรค ที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียง เอามาทำและปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง โดยไม่ได้มีความรังเกียจ หรือแบ่งแยก หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ นี่คือการเมืองที่อยู่ในใจผม การเมืองที่ไม่ต้องมี ผู้ชนะเด็ดขาด ไม่มีฝ่ายใดต้องแพ้ราบคาบ” พล.อ.ประวิตร ระบุ

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ทุกคนทุกฝ่ายต้องตระหนัก ถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกัน ร่วมมือกันฟื้นฟู และพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าอย่างเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า พูดไม่เก่ง แต่ มีหัวใจ หัวใจที่ใหญ่พอจะยอมรับความแตกต่างทางความคิด เพื่อนำพาให้ ก้าวข้ามความขัดแย้ง วิธีที่คิดไว้คือให้ความเคารพอย่างแท้จริงต่อ ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ด้วยความเชื่อมั่นว่าประเทศจะเดินหน้าไปได้ด้วยการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย เท่านั้น แต่เป็นประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้คนทุกกลุ่มเข้ามาร่วมมีบทบาท

เคารพในเสียงส่วนใหญ่ เปิดใจรับฟังเสียงส่วนน้อยที่มีความรู้ ความสามารถด้วยเจตนาดีต่อความเป็นไปของประเทศ
“อยากจะย้ำ คือขอให้เชื่อผม เหมือนที่ผมเชื่อตัวเอง ว่าผมทำได้ เพราะหัวใจผมใหญ่พอ มาก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน เราจะอยู่กับความเห็นต่างที่มีมากด้วยความเห็นชอบ ไม่ใช่เห็นชอบกับสิ่งที่ตนเองคิดและจะคอยรับฟังการรายงานข้อสรุป ที่เป็นประโยชน์ โดยมีหลักคิดอยู่ในใจว่า ปัจจุบันคือแก้ไขอดีตที่ล้มเหลว เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า และนี่คือสิ่งที่นักการเมืองหลายคนกำลังทำ ด้วยหลักคิดเดียวกันคือการย้ายพรรค จากฝ่ายรัฐบาล ไปสู่ฝ่ายค้าน หรือจากฝ่ายค้านไปสู่รัฐบาล ซึ่งคงมองถึงอนาคตที่ดีกว่า และก็คงทำต่อไปแม้ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ 8ปีที่ผ่านมาสอนให้เรียนรู้และได้คิดว่า อะไรที่ดีกว่าเดิม เพื่อจะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเป็นสิ่งที่ควรทำและจะต้องทำด้วยวิธีคิดใหม่ๆ เพราะการที่จะคิดอยากได้สิ่งใหม่ๆ โดยใช้วิธีเดิมๆนั้นไม่น่าจะได้ผล ส่วนที่ผมคิดจะถูกหรือจะผิด ประชาชนเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน” พล.อ.ประวิตร ระบุ


กำลังโหลดความคิดเห็น