มท.จ่อเวียนซ้ำ! ไฟเขียว “ผู้บริหาร-สมาชิกสภาท้องถิ่น” ช่วยผู้สมัคร ส.ส.- พรรคการเมือง หาเสียงเป็นการส่วนตัว และนอกเหนือเวลาราชการได้ แต่ให้รอ พ.ร.ก.ให้มีการเลือกตั้ง และประกาศ กกต.กำหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัคร ก่อน หลังปีก่อน เคยมีหนังสือแจง ไฟเขียวช่วยหาเสียง ในช่วง 180 วันได้ แต่ต้องระวังปมเป็น จนท.รัฐ ใช้ตำแหน่งหน้าที่-ทรัพยากรรัฐ ช่วยเหลือโดยไม่ชอบ
วันนี้ (10 มี.ค.) มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้า การประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาล และภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
ที่โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ โดยมีผู้บริหารกระทรวงร่วมประชุม กับผู้ว่าราชการจังหวัด ทั่วประเทศ ร่วมประชุม ผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกล (VCS)
ในระหว่างวาระการชี้แจงของ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ได้รายงานการเตรียมความพร้อมสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี พ.ศ. 2566
ภายหลังได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
ล่าสุด สถ. ได้แจ้งแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น เลขานุการสภาท้องถิ่น ว่า
“สามารถช่วยเหลือผู้สมัครหรือพรรคการเมือง หาเสียงเลือกตั้งเป็นการส่วนตัว และนอกเหนือเวลาราชการได้”
.
ในส่วนของการเตรียมซักซ้อมแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่จะต้องขอความร่วมมือท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด แจ้งให้ข้าราชการพนักงาน เจ้าหน้าที่และลูกจ้างในสังกัดทุกระดับ ทั้งในส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1) สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้ตามปกติ เช่น การจัดประชุมสัมมนา การจัดกิจกรรมประดวกแข่งขันต่างๆ หรือการจัดงานเทศกาลตามประเพณี
2) ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ สนับสนุนการเลือกตั้ง
3) การวางตัวเป็นกลางทางการเมือง 4) เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งไปจนถึงวันเลือกตั้ง การแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ พนักงาน ให้กระทำเท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเลือกตั้ง
5) สนับสนุนสถานที่ เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการเลือกตั้ง และ 6) ให้มีการสนธิกำลังทหาร ตำรวจ พลเรือน และอาสาสมัคร เพื่อคุ้มครองประชาชนและเจ้าหน้าที่ให้ได้รับความปลอดภัย
.
ทั้งนี้ ต้องรอให้มีการออกพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง กำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
และสถานที่ที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ
โดย กระทรวงมหาดไทย โดย สถ.จะได้มีหนังสือซักซ้อมแนวทางปฏิบัติดังกล่าวไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ทั่วประเทศ ต่อไป
ปลายปีที่แล้ว สถ.มีหนังสือหารือเรื่อง "แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. 2566” มายังเลขาธิการ กกต.
โดยเป็นการขอความชัดเจนว่า ในช่วง 180 วัน ก่อนสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันจะครบวาระการดำรงตำแหน่ง ในวันที่ 23 มี.ค. 66 นั้น
ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น เลขานุการสภาท้องถิ่น ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 78 วรรคหนึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561
ที่ห้ามใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วนกฎหมานในการช่วยเหลือผู้สมัคร พรรคการเมืองในการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่
และถ้าไปช่วยผู้สมัครหรือพรรคการเมืองหาเสียงเลือกตั้งโเยส่วนตัว มิได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ นอกเวลาราชการ ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐ จะสามารถทำได้หรือไม่เพียงไร
สำนักงาน กกต.โดย นายกิตติพงษ์ บริบูรณ์ รองเลขาธิการรักษาการแทนเลขาธิการ กกต.ได้มีหนังสือตอบข้อหารือดังกล่าวกลับไป ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว อาจเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 78 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 ได้
หากเข้าลักษณะตามหลักเกณฑ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2543 ลงวันที่ 14 ก.พ. 2543 ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์
“เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” ไว้ หมายถึง 1. ได้รับแต่งตั้งหรือเลือกตั้งตามกฎหมาย 2. มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการหรือหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายและปฏิบัติงานประจำ
3. อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐ 4. มีเงินเดือนค่าจ้างหรือค่าตอบแทนตามกฎหมาย
โดยผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว สามารถช่วยเหลือผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง หาเสียงเลือกตั้งเป็นการส่วนตัว และนอกเหนือเวลาราชการได้
แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ขัดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 และต้องเป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งระเบียบที่เกี่ยวข้องเฉพาะตำแหน่งดังกล่าว
โดย สถ.ได้มีหนังสือแจ้งแนวทางการปฏิบัติดังกล่าวไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อแจ้งต่อนายอำเภอทุกอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งทราบครั้งหนึ่งแล้ว