หน.พลังธรรมใหม่ เล่นใหญ่ “ชักดาบ-ทุบหม้อข้าว” หน้าพระเจ้าตาก เปิดตัวสู้ศึกเลือกตั้ง 66 ยกนโยบายปากท้อง-ศาสนา เดินหน้าประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ บอก 4 แสนเสียงทำได้ เรื่องหมูๆ ปัดตอบอยู่ฝั่ง “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ขอรอดูหลังเลือกตั้ง ย้ำ เราไม่ได้มาเอากล้วย-เงินทอน
วันนี้ (9 มี.ค.) พรรคพลังธรรมใหม่ นำโดย นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย แกนนำและสมาชิกพรรค จัดกิจกรรมเปิดตัวพรรคพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง 2566 โดยใช้ยุทธการทุบหม้อข้าวหม้อแกง ตั้งขบวนรถแห่เป็นกลุ่มรถจักรยานยนต์ ประมาณ 30 คัน ติดป้ายประกาศนโยบายที่จะใช้หาเสียง เช่น ปากท้อง / ทวงคืนน้ำมันไทย / ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก เป็นต้น แห่รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เดินทางไปยังอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ โดยใช้เส้นทางผ่านราชเทวี อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ย่านปากคลองตลาด
โดยทันทีที่ขบวนถึงอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตัวแทนพรรคพลังธรรมใหม่ จุดธูปบูชาพระเจ้าตาก พร้อมกับให้คำปฏิญาณว่าจะทำงานเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม และประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม
จากนั้น นพ.ระวี ได้ชักดาบและใช้ไม้คมแฝกทุบหม้อดิน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์เดียวกับ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในการกอบกู้เอกราช และได้ตะโกนว่า “ผู้ชนะ” 3 ครั้ง
โดย นพ.ระวี ระบุว่า ตนพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย ในนามพรรคพลังธรรมใหม่ เราขออาสามาแก้วิกฤติของชาติให้หมดสิ้นไป พรรคพลังธรรมใหม่พร้อมนำความสุขความอยู่ดีกินดีและความเป็นธรรมสู่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ส่วนที่ใช้ยุทธศาสตร์ทุบหม้อข้าวหม้อแกง เพราะเห็นว่ายุทธศาสตร์ในอดีตมีความจำเป็นต้องทุ่มเท เพื่อรบให้ชนะ หากแพ้ก็จะตาย เฉกเช่นเดียวกันกับพรรคพลังธรรมใหม่ที่แพ้ก็ตาย เราประกาศตัวสู้เต็มรูปแบบ หากแพ้การเลือกตั้ง พรรคพลังธรรมใหม่ก็คงจะจบ แต่ตนมั่นใจในชัยชนะที่จะเกิดขึ้น จึงตีหม้อเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้สมาชิกทั่วประเทศทุ่มเทในการหาเสียง
สำหรับเป้าหมายครั้งนี้ พรรคพลังธรรมใหม่ขอประกาศนโยบาย เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน โดยไม่ใช่นโยบายประชานิยม ที่สำคัญคือ พรรคพลังธรรมใหม่จะไม่ดีแต่พูด ในวันแรกหากได้เข้าสภาจะยื่นญัตติ พ.ร.บ.กฎหมายเกี่ยวกับนโยบายของพรรคทันที มองว่า ภายใน 1 ปี จะนโยบายที่หาเสียงสำเร็จ ตนขอฝากถึงพี่น้องประชาชนว่า พรรคการเมืองเล็กพรรคหนึ่งคือกล้าที่จะประกาศสู้เลือกตั้ง หากตนได้เป็นนายกรัฐมนตรี เชื่อว่า เวลานั้นจะเป็นนาทีทองของประเทศไทย
เมื่อถามว่า กฎหมายใหม่ ไม่เอื้อต่อพรรคเล็ก พรรคพลังธรรมใหม่ มั่นใจมากน้อยแค่ไหน นพ.ระวี กล่าวว่า ในฐานะนักกีฬา เรายินดีรับกติกานี้ ที่จะลงไปสู้สนาม เราไม่ย่อท้อ เราไม่ท้อถอยและเชื่อมั่นว่า 4 แสนเสียงเป็นเรื่องหมูๆ เราจะเน้นกลยุทธ์การหาเสียงแบบปากต่อปาก เพราะเราไม่มีเงินมาก
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จุดยืนเรื่องจะร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นพ.ระวี ตอบว่า ตนขอประกาศว่า จะรอคะแนนเสียงจากประชาชนว่าพรรคใดได้คะแนนเท่าไหร่ พรรคพลังธรรมใหม่ได้คะแนนเท่าไหร่ จุดยืนพรรคพลังธรรมใหม่ไม่ได้จะอยู่กับพรรคลุงไหน
“เราถือจุดยืนอยู่ข้างประชาชน และเราถือว่าหากเราร่วมรัฐบาลไหน รัฐบาลตอบรับนโยบายของเราในการดำเนินการและเกิดผลดีได้หรือไม่ เราไม่สนใจ เราไม่อยู่กับลุงก็ได้ เราอยู่กับพี่ก็ได้ อยู่กับน้าก็ได้ อยู่กับใครก็ได้ แต่ขอให้คนนั้นตัดสินใจรับนโยบายพรรคพลังธรรมใหม่ที่มาจากประชาชนนโยบายที่จะสร้างความเป็นธรรม กล้าประกาศจุดยืนหรือไม่ที่จะมาอยู่ข้างนายทุน” นพ.ระวี กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า การตอบลักษณะดังกล่าว เป็นการอยู่ฝ่ายที่ชนะหรือไม่ นพ.ระวี ระบุว่า ไม่ พรรคพลังธรรมใหม่ ไม่ได้สนใจว่าจะต้องเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้านแล้วอดอยากปากแห้ง เพราะเรามีจุดมุ่งหมายคือเราต้องเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรและเป็น ส.ส.น้ำดีทั้งพรรค เราจะพิทักษ์ประโยชน์ของประชาชน มองว่าเป็นฝ่ายค้านดีเสียอีก มีสิทธิ์จะพูด แต่เป็นรัฐบาลมา 4 ปี เราพูดไม่ได้ พูดมากไปก็กระทบพรรคร่วมรัฐบาล เจอบางอย่างที่ไม่เหมาะสมเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องปล่อยผ่าน
“เราไม่ได้ไปเอากล้วย เราไม่ชอบเอาเงินทอน แต่สิ่งที่สำคัญคือถ้าเกิดเราได้อยู่พรรคร่วมรัฐบาล เราจะประกาศชัดเจนว่า จะเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลเหมือนเดิม ถ้ารัฐบาลทำดีเราจะยกมือให้” นพ.ระวี กล่าว
นพ.ระวี ยืนยันว่า การสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคพลังธรรมใหม่ต่อสู้ตามแนวทางของพรรค โดยไม่ได้จับมือกับพรรคอื่น เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา มีการเจรจากับพรรคเล็กเกือบ 20 พรรค พบว่า แต่ละพรรคมีความเป็นตัวตนของตนเอง จนถึงวันนี้ก็มีหลายพรรคที่มาร่วมกับพลังธรรมใหม่ แต่มาในนามส่วนตัว ไม่ได้มาในนามพรรค
โดยกลยุทธ์ของพรรค จะไม่ส่งผู้สมัครครบทุกเขต แต่อาจจะส่ง ส.ส.เขต เพียงภาคและ 1 คนเท่านั้น เพราะมองว่าสังคมการเมืองปัจจุบัน หากไม่มีเงินเป็นถุงเป็นถัง ไม่มีทางชนะ ส.ส.เขต พรรค จึงเน้นการหาคะแนนพรรค เพื่อมุ่งเป้าให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยจะมีแกนนำพรรคที่จะออกหาเสียงให้พรรคเกือบ 400 เขตทั่วประเทศ โดยเป้าหมายในการเลือกตั้ง ตั้งเป้าไว้ว่าจะได้ประมาณ 1.5 ล้านเสียง