xs
xsm
sm
md
lg

“โทนี่” เคลมประชานิยม ต้นตำรับบี้ภูมิใจไทย !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - แพทองธาร ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

โผล่ออกมาอีกรอบ สำหรับ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ที่ล่าสุด ใช้ช่องทาง “กลุ่มแคร์” ที่เป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายสนับสนุนตัวเองและพรรคเพื่อไทย ออกมา “เคลม” นโยบายประชานิยม ทำนองว่า ตัวเองเป็นต้นตำรับ ขณะที่หลายพรรคพยายามเลียนแบบ แต่ไม่เหมือน รวมไปถึงการด้อยค่าพรรคการเมืองคู่แข่งว่ามีแต่การใช้เงิน แต่ไม่รู้จักวิธีหาเงิน

โดย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้อนไปถึงการรัฐประหาร เมื่อปี 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช.ที่เคยรัฐประหารรัฐบาลของเขา และพรรคไทยรักไทย ว่า “ตอนรัฐประหาร 49 เขาจะเปลี่ยนชื่อ OTOP เพราะมองว่า มันคือ One Thaksin One Potjaman”

ส่วนเรื่อง SME ความจริงต้นตำรับ คือ ไทยรักไทยนะ ช่วงนั้นไม่ค่อยมีคนเข้าใจด้วยซ้ำ เราเลยเอาวิธีคิดมาจากญี่ปุ่น คือ OTOP มาใช้ แต่พอเจอรัฐประหาร 2549 เขาพยายามจะล้มโครงการเราหมด แล้วล้มไม่ได้ ถ้าล้มไม่ได้ก็พยายามจะเปลี่ยนชื่อ

คุณรู้ไหมว่าตอนรัฐประหาร 49 เขาจะเปลี่ยนชื่อ OTOP นะ เพราะเขามองว่ามันคือ One Thaksin One Potjaman (วันทักษิณ วันพจมาน) โอ้โห ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมยังคิดไม่ได้เลย มันเก่งจริงๆ ไม่รู้คิดได้ยังไง ทั้งๆ ที่จริงๆ มันคือ One Tambon One Product

เวลาออกนโยบาย ต้องคิดด้วยว่า ต้องมีนโยบายหาเงินประกอบด้วย ถ้าไม่มีแล้วจะใช้เงินอย่างไร สุดท้ายจะเหมือนเวเนซุเอลา ดังนั้น ผู้นำต้องคิดว่าจะหาเงินยังไง ใช้เงินเก่งแต่หาเงินไม่เป็น เละ

เราอยากให้ประชาชนมีรายได้ แต่ต้องไม่ใช่ด้วยการแจกเงินไปวันๆ วันนี้ผมเห็นนโยบายของแต่ละพรรค มักจะเป็นท่อนๆ ขาดการมองภาพรวมว่าเราจะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ประชาชนยังไง เพื่อให้วนกลับมาเป็นภาษี ให้รัฐมาพัฒนาประเทศต่อ ซึ่งส่วนใหญ่จะพยายามแข่งกันประชานิยม คือ จ่ายอย่างเดียว แต่ยังไม่เห็นนโยบายหาเงินเลย

ปรัชญาของนโยบายประชานิยม คือ แจกอย่างเดียว ไม่คิดเรื่องการหาเงิน แต่ถ้าอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้หมุนและวนกลับมาเป็นภาษีสร้างรายได้ให้รัฐเพิ่มขึ้น อันนี้เราไม่เรียกว่า ประชานิยม แต่คนมักแยกไม่ออก และโจมตีไทยรักไทย เพื่อไทย ทั้งๆ ที่ดูไม่ออกว่ามันไม่ใช่ประชานิยม ซึ่งสุดท้ายพวกนี้ก็ลอกนโยบายเรา แต่ก็ลอกเป็นท่อนๆ ไม่เข้าใจวิธีคิด แข่งแบบนี้เลยล่มจม

ทั้งนี้ ในคำพูดดังกล่าวเขายังได้กล่าวโจมตีนโยบายพรรคภูมิใจไทย ว่า “นโยบายภูมิใจไทยเหรอ ผมว่าเฉยๆ มันไม่ตื่นเต้นอ่ะ”

นโยบายภูมิใจไทยที่ออก ทั้งพักหนี้ 3 ปี กัญชา คอนแทคฟาร์มมิ่ง เท่าที่ฟังนะ ผมว่า “เฉยๆ มันไม่ตื่นเต้นอ่ะ” มันไม่เห็นน่าสนใจอะไรเลย นโยบายเศรษฐกิจเท่าที่เห็น ไม่มีอะไรเป็นภาพรวมเลย มีแต่นโยบายที่ล่อเอาคะแนนอย่างเดียว

โอเค คุณอยากให้คนนิยมคุณ แต่คุณต้องมีแนวทางเอาเศรษฐกิจกลับคืนมา ประเทศไทยต้องกลับสู่วินัยการคลังที่ถูกต้อง ไม่ใช่เงินหมดแล้วกู้ อย่างงี้มีแต่พัง เอาเงินกู้เยอะๆ มาให้คนที่ใช้ไม่เป็น ยิ่งเป็นหนี้ฟรีๆ เพิ่มหนี้ฟรีๆ

ดังนั้น วันนี้ต้องคิดนโยบายภาพรวมที่จะทำให้ประเทศเจริญ ต้องมีเป็นแพกเกจว่าจะจัมป์สตาร์ทยังไง วันนี้เศรษฐกิจไทยไม่ดับก็เหมือนดับ โตต่ำกว่าเงินเฟ้อ คิดไหมว่าจะเอาขึ้นยังไง ไม่ใช่ออกมาเป็นท่อนๆ

นี่ยังไม่ต้องพูดถึง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่ประสานเสียงด้อยค่านโยบายพรรคภูมิใจไทย ในเรื่อง “นโยบายพักหนี้สามปี” ทำนองว่า “ของจริงต้องเพื่อไทยเท่านั้น” หรือ ออริจินัล ต้องเพื่อไทยอะไรประมาณนี้

อย่างไรก็ดี หากมองในมุมของ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะพอเข้าใจได้ และต้องยอมรับว่าพวกเขานำนโยบายประชานิยมมาใช้หาเสียง ซึ่งจะว่าไปแล้วส่วนใหญ่ก็ลอกเลียนแบบมาจากต่างประเทศ รวมไปถึงนโยบายหลักๆ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรคในยุคนั้น ก็เป็นแนวคิดของ “หมอสงวน” ซึ่งต่อมานายทักษิณ นำมาใช้และต่อยอดจนเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ

ขณะเดียวกัน การที่เขาพยายามตอกย้ำให้เห็นว่า หลังการรัฐประหารปี 49 ที่มีความพยายามจะเปลี่ยนนโยบาย “โอทอป” หรือ OTOP โดยอ้างว่า เป็นเพราะเชื่อว่าเป็นชื่อของ ทักษิณ และ พจมาน ณ ป้อมเพชร์ (ชินวัตร) อดีตภรรยาของเขา มองในมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับการโจมตีคณะรัฐประหาร ในแบบใจแคบ ทำลายนโยบายดีๆ อะไรประมาณนั้น

แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับว่า “มีเจตนาโชว์ให้เห็นว่าตัวเขาและอดีตภรรยามีความยิ่งใหญ่” ถึงกับมีความพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อลบนโยบายแบบนี้ ซึ่งจะจริงหรือไม่จริงไม่รู้ เพราะไม่อาจพิสูจน์กันได้ แต่อย่างน้อยก็เห็นถึงความพยายามโอ้อวดให้เห็นชัดเจน

มีบางเรื่องที่ นายทักษิณ ชินวัตร ยังไม่พูดออกมา ก็คือ นโยบาย “รับจำนำข้าว” ที่ก่อให้เกิดการทุจริตมโหฬาร ในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของเขา ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้รัฐบาลก็ยังต้องตั้งงบประมาณชดใช้ยังไม่จบ

อย่างไรก็ดี หากโฟกัสกันถึงนโยบายประชานิยม ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า เป็นจุดขายของพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทย แต่ขณะเดียวกัน นโยบายดังกล่าวก็ถูกวิจารณ์อย่างหนัก ว่า สร้างความหายนะให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศชาติ เหมือนกับนโยบายรับจำนำข้าว จนมีรัฐมนตรีติดคุกกันหลายคน และแม้แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็ต้องหลบหนีคดีในต่างประเทศมาจนบัดนี้

แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีหลายพรรคการเมืองพยายามนำ “ประชานิยม” มาใช้ในการหาเสียง สร้างคะแนนนิยมให้กับพรรคของตัวเอง ซึ่งก็ไม่ซับซ้อนอะไรมากมาย นั่นคือ “แจกเงิน” เพิ่มเงิน เข้าไป และแน่นอนว่า ชาวบ้านย่อมต้องชื่นชอบ ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นว่า หลายพรรคกำลังแบ่งคะแนนเสียงไปจากพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายทักษิณ ไปได้มากแล้วหรือเปล่า เพราะการออกมาตอกย้ำให้เห็นว่า ตัวเอง “เป็นออริจินัล” เป็นของแท้นั้น มันก็เท่ากับว่า ชาวบ้านไม่น้อยโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ ไม่ได้รับรู้ว่าใครเคยทำมาก่อน

ดังนั้น หากมองกันแบบเข้าใจสำหรับการออกมาตอกย้ำว่าพวกเขาเป็นต้นตำรับ มันก็สะท้อนให้เห็นว่า ภาพจำในอดีตในยุคของ นายทักษิณ ชินวัตร เริ่มเสื่อมลงไปมากแล้ว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสบรรยากาศในยุคเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว และหลายคนก็รู้จักเขาแค่ผิวเผิน เหมือนกับรู้จัก “ลุง” คนหนึ่งเท่านั้น การ “เคลม” แบบนี้มันก็เหมือนกับออกอาการนั่งไม่ติดหรือเปล่า !!


กำลังโหลดความคิดเห็น