ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ พร้อมด้วย พร้อมด้วย นางสาวภคอร จันทรคณา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค นายศยุน ชัยปัญญา เลขาธิการพรรคฯ,นายสรกฤช จันทรคณา โฆษกพรรค, นางสาวอรศศิพัชร์ มามีเกตุรัตน์ โฆษกประจำตัว ส.ส.มงคลกิตติ์ฯ, นางสาวอริญรดา สาระชัย นายทะเบียนพรรค,นางสาวณัฐปภัสร์ วรธันย์ผาสุข รองโฆษกพรรค ,นางสาวกนิษฐรินทร์ พัชรภักดีโชติ รองโฆษกพรรคฯ นางสาวกฤษยากร สรชัย ผู้ช่วยเหรัญญิกพรรค,นายอนุรักษ์ อมรเมตตาจิตต์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค,นายอดิศร สังข์จันทร์ , นายอนวรรช ศรีคำเงิน กรรมการบริหารพรรค พล.ท.ดร.กฤตภาส คงคาพิสุทธิ์ ประธานยุทธศาสตร์ด้านพลังงานพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ลงพื้นที่ จ.อ่างทอง เพื่อลงพื้นที่หาเสียงช่วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. อ่างทอง ทั้ง 2 เขต คือ นางสาวกุลธนา ชัชพลกลาง เขต 1 (อ.เมืองอ่างทอง,อ.ป่าโมก,อ.วิเศษชัยชาญ) และนางสาวกนิษฐรินทร์ พัชรภักดีโชติ รองโฆษกพรรคฯ เขต 2 (อ.วิเศษชัยชาญ, อ.โพธิ์ทอง, อ.ไชโย, อ.แสวงหา, อ.สามโก้) โดยเริ่มต้นจากการลงพื้นที่ตลาดภายในเทศบาลเมืองอ่างทอง ต่อมา ได้เดินทางไปยัง ตลาดวิเศษชัยชาญ อ.วิเศษชัยชาญ ซึ่งนายมงคลกิตติ์ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อ่างทอง ทั้ง 2 ราย ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดีและมีคนมาถ่ายรูปและให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก
หลังจากนั้น พรรคศรีวิไลย์ ได้เปิดเวทีปราศรัยที่ วัดศรีบัวทอง อ.แสวงหา เพื่อแนะนำนโยบายต่อประชาชน โดยเน้นไปที่การรีโนเวทประเทศไทยจากความล้มเหลวของการบริหารประเทศที่ผ่านมา รวมทั้ง ขอให้ประชาชนชาวอ่างทอง เปิดโอกาสให้ผู้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคฯ ซึ่งเป็นยอดหญิงทั้ง 2 คน มีโอกาสรับใช้เป็น ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎรด้วย
โดยนายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า การที่ตั้งชื่อหัวข้อการปราศรัยว่า ‘รีโนเวท (Renovate) ประเทศไทย’ นั้น อันเนื่องมาจากว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ดีมีความสวยงามและได้สร้างความเจริญเพื่อให้ทันยุคสมัยมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล แต่ปรากฏว่า 8 กว่าปีที่ผ่านมา ประเทศกลับมีหนี้สินสาธารณะ 10.5 ล้านล้านบาทและหนี้ครัวเรือนสูงมาก ทำให้ขณะนี้ ประชาชนมีหนี้ต่อหัว 148,621 บาท และถ้าคูณด้วยประชากรที่มีราว 66 ล้าน 1 แสนคนนั้น จะเห็นได้ว่า ประเทศมีหนี้สินทะลุ 10 ล้านล้านบาทไปแล้ว ดังนั้น ตนจึงเห็นว่า หากปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศต่อไปจนถึงวันที่ 5 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 8 ปีของการตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญฯ แล้ว ก็คิดว่า คงจะมีหนี้ทะลุไปถึง 14 – 15 ล้านล้านบาท เป็นแน่ ดังนั้น ตนจึงปราศรัยขอโอกาสประชาชนเพื่อจะมารีโนเวทประเทศไทยใหม่ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน เพราะคนไทยทุกคนในวันนี้ ต่างมีปัญหาเรื่องค่าครองชีพด้วยกันทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการต่างๆ ที่พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม แต่สุดท้าย ก็กลายเป็นเพียงแค่ยาหลอกให้รู้สึกดีเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้น พรรคไทยศรีวิไลย์ จึงได้เสนอเรื่องการนำผลประโยชน์ที่รั่วไหลจากธุรกิจผิดกฎหมาย มาเป็นเงินที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างสวัสดิการให้กับประชาชน การลดเก็บภาษีน้ำมันเพื่อลดราคาน้ำมัน เพื่อต้องการลดราคาสินค้า ลดภาระค่าครองชีพประชาชน รวมทั้ง การอัดฉีดเงิน 1.5 แสนบาท เข้าตรงทุกครัวเรือนนั้น เชื่อว่านโยบายนี้จะเป็นยาแรงที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น และสามารถปลดหนี้คนไทยให้เป็นไทได้นับสิบๆ ล้านคนด้วย
“ที่ผมมาปราศรัยที่ จ.อ่างทอง ในวันนี้ ผมเชื่อว่า จะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะผมมีความมุ่งมั่นว่า ที่ผ่านมา 4 ปีของพรรคไทยศรีวิไลย์ จนมาถึงการเลือกตั้งในปี 2566 นี้ จะต้องมี ส.ส.เขตที่มีคุณภาพและเป็นเลือดนักสู้เหมือนกับผม โดยที่ผ่านมา คุณกุ้งพลอยอมเสี่ยงเป็นสตันท์เกิร์ล เพื่อเลี้ยงปากท้องของตัวเองและครอบครัว ดังนั้น ผมจึงแนะนำคุณกุ้งพลอยไปว่า อยากจะให้เพิ่มความเสี่ยง เพื่อพี่น้องประชาชนชาวแสวงหา ชาวอ่างทอง และประเทศไทย 66 ล้านคน เพราะการเป็น ส.ส. ที่ดีมันเป็นเรื่องยาก แต่การที่เป็น ส.ส.ที่ไม่ดี เป็นง่ายนิดเดียว ก็แค่เอาเงินมาซื้อประชาชน หลังจากซื้อเสร็จ ก็ไปกินงบประมาณ และก็มาแจกประชาชน ในการเลือกตั้งรอบใหม่ และสุดท้าย ส.ส.เหล่านั้น ก็จะหายหน้าหายตาไปเลย เพราะฉะนั้น การที่จะดูแลพี่น้องประชาชนชาวอ่างทอง ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ใดก็ตาม ประชาชนจะต้องสามารถดูแลตัวเองได้ น้ำท่วมก็ท่วมน้อยลง และถ้าฐานะของชาวอ่างทองดี ความเดือดร้อนจะน้อยลง แต่ถ้ายังไม่ดี วิกฤติการณ์มาแค่ไม่มาก แต่ส่งผลเดือดร้อนเยอะ รวมทั้ง วิกฤติการณ์การระบาดของไวรัสโควิด – 19 ผมทราบมาว่า ทุกคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวกันหมด ทุกคนต้องกลืนเลือด เพราะฉะนั้น พรรคไทยศรีวิไลย์และผมก็ต้องการให้ลูกชาวบ้านอย่างคุณกุ้งพลอย ได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อไปบอกความเดือดร้อนทั้งหมดนี้ ในเวทีของรัฐสภา ดังนั้น หากพี่น้องที่มาฟังปราศรัยซึ่งผมคาดว่า มีราวๆ 400 – 500 คน ซึ่งหากมีการบอกต่อไปกันคนละ 5 คน 10 คน ผมเชื่อว่า คุณกุ้งพลอยจะมีโอกาสเป็น ส.ส.อย่างแน่นอน ” นายมงคลกิตติ์กล่าว
ทางด้าน นางสาวกนิษฐรินทร์ กล่าวว่า ตนขอขอบคุณคนอ่างทองที่ให้ความรักและความเมตตากับ นางสาวกุลธนา และตน เป็นอย่างมาก ซึ่งในวันนี้ตนถือว่า เป็นวันที่มีความสุขอีกวันหนึ่ง เนื่องจาก จากเด็กสาวที่มุ่งแสวงหาโอกาสในการสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง โดยการฝึกฝนเป็นสตันท์เกิร์ลและได้รับการยอมรับจากคนในวงการบันเทิงว่า เป็นสตันท์เกิร์ลลำดับต้นๆของเมืองไทย การที่ได้รับโอกาสมีนามสกุล ‘บิ๊กบราเธอร์’ ห้อยท้าย และได้รับคะแนนเสียงโหวตจากประชาชนเกือบ 66 % ให้เป็นผู้ชนะการแข่งขัน และได้ทำงานวงการบันเทิงอยู่เสมอๆ ซึ่งตนคิดว่า หากตนได้รับเสียงสนับสนุนจากคนอ่างทอง 4 – 5 อำเภอ ตามที่ตนเคยได้รับแล้ว ก็ถือว่า เป็นการชนะใจประชาชนเหมือนกับเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ดังนั้น ในวันนี้ที่ได้มาลงพื้นที่หาเสียงที่บ้านเกิด ก็อยากจะขอความกรุณาชาวอ่างทอง ให้โอกาสตนและนางสาวกุลธนา ซึ่งเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ แต่ว่ามีความฝันที่อยากจะให้ จ.อ่างทอง ดีขึ้นกว่านี้ ได้ทำงานในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้กับพี่น้องและนำนโยบายของพรรคไทยศรีวิไลย์มาปรับใช้ในพื้นที่ของ จ.อ่างทอง เพื่อส่งเสริมของดีประจำจังหวัด คือ เครื่องจักสาน การทำตุ๊กตาชาววัง การทำกลอง ให้ก้าวสู่ตลาดโลกให้ได้
“ดิฉันเป็นเหยื่อของการพนันออนไลน์ เนื่องจากว่า รัฐบาลไม่กระตือรือร้นในการปราบปราม ตอนแรกดิฉันก็โทษตัวเองที่หลงผิด แต่เมื่อกลับมาคิดอีกที ก็พบว่า ทำไมรัฐบาลไม่แก้ปัญหาในจุดเริ่มต้น คือ ความลำบากของประชาชน เพราะวันนี้ประชาชนแทบไม่มีเงินในกระเป๋า เหมือนกับสมัยที่ตนต้องดิ้นรนเรียนหนังสือในบ้านเกิดของตัวเอง ชาวนาเองก็ลำบาก เนื่องจากทุกวันนี้ ยิ่งทำนายิ่งจน รวมทั้ง เมื่อมีปัญหาภัยพิบัติต่างๆ รัฐบาลกลับเป็นกลุ่มคนท้ายๆ ที่มองเห็นปัญหา และดำเนินการเยียวยาอย่างล่าช้า ดังนั้น เมื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ ให้โอกาส ดิฉันก็เชื่อมั่นในพรรคไทยศรีวิไลย์ ซึ่งวันนี้ ดิฉันเห็นว่า นายมงคลกิตติ์ไม่ใช่เป็นแค่หัวหน้าพรรค แต่เป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่งของตน และเมื่อได้เห็นอุดมการณ์และนโยบายของพรรคฯ แล้ว เป็นผู้ที่ทำจริง สู้จริง กล้าชนจริง และใช้เวลาอย่างยาวนานกว่าจะได้ผลงานมา ซึ่งถือเป็นนักสู้ตัวจริง และดิฉันขอกราบนายมงคลกิตติ์ ที่ให้สติและบอกให้ตนเป็นแม่ของลูกที่ดี และกลับไปตอบแทนบ้านเกิดเมืองนอนตัวเอง เพื่อให้คนที่นี้สุขสบายขึ้น จะต้องยิ้มได้ ต้องมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น ลูกหลานจะได้เรียนดีๆ เรียนสูงๆ และเกษตรกรจะต้องทำแล้วรวย ๆ ไม่ใช่ทำแล้วจนลงๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมาด้วย” นางสาวกนิษฐรินทร์ กล่าว