xs
xsm
sm
md
lg

“พุทธะอิสระ” ชี้ชัด สิ่งที่น่ากลัวกว่า “แลนด์สไลด์” “อดีตรองอธิการบดี มธ.” ซัด ฝ่ายค้าน ซักฟอก “เลวร้ายเกินจริง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” ชินวัตร  จากแฟ้ม
อดีตมันฟ้อง! “พุทธะอิสระ” ถามมา ตอบไป แลนด์สไลด์ไม่น่ากลัวเท่ากับ บทเรียนบริหารประเทศ “สองศรีพี่น้องตระกูลชิน” บ้านเมืองแตกแยกเสียหายทุกด้าน “อดีตรองอธิการ มธ.” เผยข้อมูลอีกด้าน ซัด ฝ่ายค้าน ป้ายสีเลวร้ายเกินจริง!


น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (20 ก.พ. 66) “พุทธะอิสระ” อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และอดีตแกนนำ กปปส. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถามมา ตอบไป (ตอนที่ 2) ระบุว่า

“ถาม : เห็นคุณมึงตั้งคำถามเอากับคนไทยว่าลืมอะไรไปหรือเปล่า แล้วจับแพะชนแกะเอาเหตุการณ์จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง มาเขียน มาโพสต์ คุณมึงมีเจตนาอะไร หรือเห็นว่า คุณอุ๊งอิ๊ง ประกาศแลนด์สไลด์เลยกลัว ว่าจะอยู่ไม่ได้ เลยออกมาโพสต์สกัด ขัดขวางเขา

ตอบ : เอาจริงๆ นะ ฉันไม่ได้เกรงกลัวอำนาจอิทธิพลใดๆ ของพวกคุณดอก แต่ฉันแค่ไม่อยากออกไปขับไล่ทรราช คนโกงบ้านกินเมือง เหมือนที่แล้วๆ มาอีกต่างหากเล่า

แต่หากมันจำเป็นก็คงเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นหน้าที่ของลูกไทย ที่ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน

ด้วยเพราะฉันเห็นคนไทยคงจะหลงลืมอะไรไป จนอาจจะสร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง ตัวอย่างมีให้เห็นในการเลือกผู้ว่าฯ กทม. ที่ผ่านมา เลือกเข้ามาแล้วก็ต้องมานั่งบ่น นั่งว่า ว่าไร้ผลงาน

อีกทั้งฉันยังเชื่อในหลักคิดที่ว่า คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ทุจริตขี้โกง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนใกล้ชิดจะไม่ทำตาม ดังคำที่ว่า ลูกปูย่อมเดินตามแม่ปู ล้อเวียงย่อมหมุนตามรอยเท้าโค

หากเป็นเช่นนั้น บ้านเมืองจะต้องเสียหายอย่างในอดีต คนไทยต้องไม่ลืมว่า ช่วงเวลาที่ 2 ศรีพี่น้องตระกูลชินเข้ามาบริหารประเทศ ประเทศชาติเกิดความแตกแยกเสียหายในทุกด้าน

ภาพ อดีตหลวงปู่พุทธะอิสระ จากแฟ้ม
ยิ่งในเรื่องเศรษฐกิจ 2 ศรีพี่น้องตระกูลชิน ทำให้ระบบการเงินการคลังของประเทศแทบล้มสลาย ถึงขนาดในยุคของนางสาวยิ่งลักษณ์ ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชันกันในทุกระบบ อันนี้จริงไหม

โครงการรถคันแรก แท็บเล็ตเครื่องแรก และบ้านหลังแรก ทำให้รัฐต้องสูญเสียเงินงบประมาณไปถึง 98,000 ล้านบาท แต่ท้ายที่สุดทั้งบ้าน ทั้งรถ ที่รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ยัดเยียดให้ประชาชนก็ต้องถูกยึด อันนี้จริงไหม

วลีที่ว่า เอาอยู่พี่น้อง ในสถานการณ์น้ำท่วมปี 2554 รัฐบาลนายกฯ ปู บริหารงานผิดพลาด จนทำให้ประชาชนเดือดร้อน 4 ล้านครอบครัว 13.4 ล้านคน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 2,329 หลัง เสียหายบางส่วน 96,833 หลัง พื้นที่การเกษตรจมน้ำเสียหายไป 11.2 ล้านไร่ เศรษฐกิจเสียหายคิดเป็นเงินถึง 1.4 ล้านล้านบาท มีคนตาย 657 ราย สูญหาย 3 ราย อันนี้จริงไหม

โครงการจำนำข้าวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณไปถึง 867,000 ล้านบาท อันนี้จริงไหม

แล้วไอ้ที่เขาอภิปรายกันในสภาว่า ญาติของตระกูลชินขายบ้านแถมพาสปอร์ตให้แก่กลุ่มทุนจีนสีเทา อันนี้จริงไหม

ส่วนนายหญิงอุ๊งอิ๊งของคุณ จะแลนด์สไลด์ได้หรือไม่

ฉันเชื่อว่า คนไทยไม่ได้กินหญ้า รู้ดี รู้ซึ้ง แยกแยะถูกผิดได้ ไม่ต้องให้ใครมาจูงจมูก โดยเฉพาะลูกหลานชาวครอบครัวธรรมอิสระของฉัน ประโยชน์ของประเทศชาติต้องมาก่อนเสมอ ตามนี้นะจ๊ะ”

ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

“ตลอดการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติที่ผ่านมาของฝ่ายค้าน มีเนื้อหาที่สามารถสรุปได้ 2 ข้อ ดังนี้

1. ประเทศไทยมีสภาพย่ำแย่เลวร้ายที่สุดในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจที่คนกำลังจะอดตาย การจัดการโควิดที่มีคนตายตามถนน การทุจริตคอร์รัปชัน ธุรกิจสีเทา ยาเสพติด การพนัน อาชญากรรม ด้านสังคม มีการยิงกราดทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก เรือหลวงจมทำให้ทหารเรือเสียชีวิต เยาวชนที่เพียงแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างถูกจับขังคุก และอื่นๆ อีกมากมาย

2. ความย่ำแย่เลวร้ายทั้งหมดทุกประการ ล้วนเกิดจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์ชา และรัฐบาลของ พลเอก ประยุทธ์ ซึ่งตลอด 8 ปี ไม่ได้มีผลงานอะไรเลย

วิญญูชนที่มีใจเป็นธรรมฟังแล้วคงตัดสินได้ว่า ความย่ำแย่เลวร้ายของประเทศเราไม่ใช่ไม่มี แต่ฝ่ายค้านพยายามวาดภาพระบายสีให้เลวร้ายเกินจริง และความเลวร้ายที่เป็นอยู่หลายเรื่องก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่มีรัฐบาลไหนสามารถแก้ปัญหาได้ รวมทั้งรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่สามารถแก้ได้

ในที่นี้ จึงจะขอหยิบยกเรื่องเศรษฐกิจมาขยายความ สภาพเศรษฐกิจที่ฝ่ายค้านมักอ้างเสมอว่า แม้ในช่วงโควิดรัฐบาลก็ควรจะบริหารเศรษฐกิจให้ดีกว่านี้ได้ และเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิดของประเทศเราเป็นอันดับสุดท้ายของภูมิภาค ตามหลังประเทศอื่นๆ ทั้งหมด

คราวนี้ เรามาลองดูข้อเท็จจริงกันสักนิด จริงอยู่อัตราการเติบโตของ GDP ของไทยใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2565 อยู่ในอันดับท้ายๆ ในอาเซียนจริง ใกล้เคียงกับประเทศบรูไน แต่ที่ฝ่ายค้านเลือกที่จะไม่พูด ก็คือ ประเทศสิงคโปร์ ก็ไม่ได้ดีกว่าเราสักเท่าใด และเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของ GDP 4.5% สูงกว่าใน 2 ไตรมาสแรกเกือบ 2 เท่า ในขณะที่สิงคโปร์เติบโต 4.4% ใกล้เคียงกับไทย แต่ต้องยกให้ประเทศมาเลเซียที่โตถึง 14.2% ในไตรมาสเดียวกัน

อย่างไรก็ดี การดูเฉพาะอัตราการเพิ่มขึ้นของ GDP เพื่อประเมินสภาพเศรษฐกิจของประเทศ เป็นการใช้ข้อมูลที่ไม่เพียงพอ จำเป็นต้องดูตัวเลขขนาดเศรษฐกิจของประเทศ และตัวเลข GDP ต่อหัวของประเทศนั้นๆ ด้วย หากไปดูตัวเลขขนาดเศรษฐกิจของไทย ก็จะพบว่า ไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 รองจากประเทศอินโดนีเซีย และหากดูตัวเลข GDP ต่อหัว ก็จะพบว่า ไทยอยู่ในอันดับที่ 4 อันดับ 1 คือ บรูไน รองลงมาคือ สิงคโปร์ และ มาเลเซีย ตามลำดับ

การที่มีขนาดเศรษฐกิจค่อนข้างใหญ่เช่นนี้ เมื่อคำนวณอัตราการเติบโตของ GDP จึงต้องคำนวณจากฐานที่ใหญ่ อัตราจึงมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าการคำนวณจากฐานที่เล็กกว่า อีกประการ ประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ ทั้ง 2 ประเทศ ต้องพึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวค่อนข้างมาก เมื่อเกิดสถานการณ์โควิดจึงถูกกระทบมากกว่าประเทศอื่นๆ จะเห็นว่าประเทศไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้นมากจากตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 และเมื่อจีนเริ่มอนุญาตให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศได้ เชื่อได้เลยว่า ตัวเลข GDP ของทั้งไทยและสิงคโปร์จะพุ่งขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 และตลอดปี 2566 แน่ๆ

ดังนั้น เมื่อเราฟังการอภิปราย เราต้องให้รู้ทันในสิ่งที่ผู้อภิปรายพยายามใส่สีตีไข่ แต่น่าเสียดายที่มีคนเป็นจำนวนมากที่เมื่อฟังแล้วก็เชื่อทันที ซึ่งนักการเมืองเหล่านี้ก็ทราบดี จึงใช้วิธีการเช่นนี้มาโดยตลอด เช่นนี้แล้วเมื่อใดการเมืองบ้านเราจะดีขึ้นกว่านี้สักที”

แน่นอน, การอภิปรายทั่วไปรัฐบาลประยุทธ์โดยไม่ลงมติของฝ่ายค้าน ครั้งนี้ มีการคาดหมายมาก่อนแล้วว่า ฝ่ายค้านจะใช้โอกาสนี้ “โจมตีรัฐบาล” เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในการเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง

ดังนั้น การโจมตีอย่างไม่ปรานีปราศรัย ก็เพื่อที่จะทำให้รัฐบาลหมดความน่าเชื่อถือ หรือ เลวร้ายมากเท่าไหร่ยิ่งดี ฝ่ายตัวเองจะได้โดดเด่นเหนือกว่า โดยคาดว่า ประชาชนจะเชื่อถือในสิ่งที่อภิปรายนั่นเอง

แต่ก็อย่างที่ “อดีตรองอธิการบดี มธ.” ชี้ประเด็น ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายไปหมด โดยเฉพาะ “เรื่องเศรษฐกิจ” มีเหตุปัจจัย ที่มากกว่าจะโทษแต่เฉพาะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แต่เพียงผู้เดียว เพราะอย่าลืมว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 ต้องป้องกันโรค รักษาชีวิตประชาชนไว้ก่อน ขาดรายได้จากนักท่องเที่ยว ที่สำคัญ เป็นการ “ซ้ำเติม” วิกฤตเศรษฐกิจที่มีมาก่อนแล้ว หรือที่เรียก “วิกฤตซ้อนวิกฤต”

อย่างไรก็ตาม ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่า ข้อมูลของฝ่ายไหนน่าเชื่อถือกว่ากัน “ความจริงก็คือความจริง” ไม่ผิด ไม่พลาด อย่างที่ถูกอภิปราย ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวจะเสียคะแนน หรือว่าไม่จริง?


กำลังโหลดความคิดเห็น