ขยี้ซ้ำทั้งระบบ! “ชูวิทย์” ยกเคส “สารวัตรซัว-ตร.สีเทา” เขย่าถึง “ระดับบิ๊ก” ยกย่อง ปกป้อง ตำรวจ “สีเทา” เพราะมีเงินดูแลผู้ใหญ่ ทอดทิ้งตำรวจดี ทำลายความรู้สึกคนกว่า 2 แสน สะท้อนความ “ไม่เท่าเทียม เหลื่อมล้ำ” ในข้าราชการทุกวันนี้
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (12 ก.พ. 66) เฟซบุ๊กแฟนเพจ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
“ตำรวจสีเทา มั่วซั่ว โดดเด่น
หลังกระชากหน้ากากคนอย่าง “สารวัตรซัว” ให้คนเห็น มีอาชีพเป็นตำรวจ แต่มีธุรกิจต่างประเทศ ลงทุนที่เขมร ทั้งกาสิโน บ่อนออนไลน์ และตั้งศูนย์เซิร์ฟเวอร์
ในประเทศมีธุรกิจเป็นสิบบริษัท ตลาดสดร่วมทุนกับลูกคนดังสีเทาย่านฝั่งธน ส่วนออฟฟิศใหญ่โตอยู่แถวรามอินทรา
ความร่ำรวยขยายงานไม่หยุดยั้งของสารวัตรซัว ล้วนเอาเวลาราชการตำรวจมาทำ
หากอ้างว่าทำนอกเวลา ต้องไม่มีเวลาเหลือให้นอน เพราะเกินมนุษย์ปกติที่หากินสุจริตจะทำได้
แถมยังมีเวลาบินไปปอยเปต ไปสิงคโปร์ ไปลอนดอน เป็นว่าเล่น นี่ก็เวลาราชการทั้งนั้น
นายซัว คงเติบใหญ่ทั้งธุรกิจเทาๆ และอาชีพตำรวจไปพร้อมกัน จนวันหนึ่งได้เป็นนายพลตำรวจที่ไม่ได้ทำงาน ไม่เคยเหยียบไปที่สำนักงานเสียด้วยซ้ำ
แล้วคนที่เป็นตำรวจอาชีพจริงๆ คนไหนจะไปสู้ได้?
นอกจากการเอาเปรียบใช้ยศตำรวจบังหน้า ได้เงินเดือนจากภาษีประชาชนแล้ว ยังเอาเวลาราชการเบียดบังไปขยายธุรกิจสีเทา ถึงขนาดไปซื้อ “อาบอบนวด” ของนายกำพล วิคตอเรีย ผู้ต้องหาหนีคดีค้ามนุษย์ ที่ชื่อ “โคปา คาบานา” ย่านรัชดา
แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ลาลิซ่า” โดยใช้ลูกน้องเด็กบ้านนอก ลูกชาวนาสุพรรณไปถือหุ้นแทน
หากไล่สอบย่อมรู้ว่าเป็น “นอมินี” แม้จะรีบเปลี่ยนชื่อหลังเรื่องดัง
นายซัว ใช้นอมินีบังชื่อตัวเองหมดในธุรกิจเทาๆ และพยายามให้ทุกคน “WFH” (work from home) ในช่วงนี้ เพื่อเลี่ยงการถูกบุกตรวจค้น
\
คำถามตกผลึกมาว่า “สังคมไทยต่อสู้ระวังกับคนร้ายทั่วไปไม่พอ ยังต้องมาคอยระแวงกับคนที่ใช้เครื่องแบบหากินอีกหรือ?”
แม้ไม่ได้ใช้อาวุธปล้น แต่ใช้สมองปล้นเงินในกระเป๋าเยาวชนไทยแทนด้วยการพนันออนไลน์
ตำรวจ 200,000 กว่านาย ที่เป็นตำรวจอาชีพจะรู้สึกอย่างไร กับการทำงานที่หลังขดหลังแข็ง ต้องเสี่ยงกับโจรขโมยปกป้องทรัพย์สินของประชาชน
ยิ่ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เสี่ยงกับระเบิดของโจรใต้เข้าไปอีก
นี่เป็นระบบ “ความไม่เท่าเทียม เหลื่อมล้ำ” ในสังคมข้าราชการทุกวันนี้
ตำรวจบางคนทนไม่ไหว ฝืนใจไม่อยู่ ตัดสินใจก้าวล้ำข้ามเส้นแบ่งไปอยู่ฝั่งสีเทาเสียดีกว่า
หรือไม่ก็ยิงตัวตายหนีปัญหาหนี้สิน
แต่หากเทามานานแบบนายตำรวจชั้นนายพล อย่าง “นายพล จ” ที่ทำท่าตรวจโรงพัก สร้างภาพเข้มงวด ตรวจความสะอาด แต่เรื่องสกปรกแล้วได้เงินกลับเงียบ
จัดระเบียบใหม่พนันออนไลน์ จ่ายเงินใต้โต๊ะ หลังจับทางถูกตั้งนโยบายแบ่งประเภทจ่าย
รายเล็ก 50,000 รายกลาง 100,000 รายใหญ่ 200,000 ต่อเดือน จนพนันออนไลน์เฟื่องฟู ตัวเลขจับกุมน้อย ยึดอายัดได้จิ๊บจ้อย
ส่วนรายครั้งสร้างเรื่องเองว่า “ช่วงนี้ทางผู้ใหญ่เขาเข้มงวด”
ให้ลูกน้องร่างคำสั่งแต่ไม่มีลายเซ็นไว้ขู่ว่าต้องตรวจเว็บ
หากอย่างนี้หมายถึงเคลียร์หนักแน่นอน เหมือนน้ำประปาไหลแรง เอาถังใบใหญ่ๆ วางรอไว้ได้เลย
ที่ฮือฮาสุดทั้งวงการ เพราะนอกจากนายพล “จ” กินบนอากาศ (พนันออนไลน์) แล้ว ยังตามไปกินในทะเล (น้ำมันเถื่อน) อีกดอก
ได้เบิ้ลสองภาค ไม่มีเล็ดลอด
ก็เขี้ยวขนาดไปตรวจห้องน้ำในโรงพักโชว์ ในติ๊กต็อกหาดูได้ ตำรวจเขาขำกลิ้ง เก่งเหลือหลายหาจุดขายไปอวดจนได้
แต่ทีเรื่องงานเป็นเรื่องเป็นราวไม่ทำ เดินสายตีกินเอาเงินเข้ากระเป๋าอย่างเดียว
ส่วนตำรวจรุ่นใหม่ เด็กๆ เลือกทำอาชีพ “พนันออนไลน์” ได้ขับรถซูเปอร์คาร์ มีเงิน มียศ อย่าง “มาเก๊า 888”
เป็นตำรวจ ตม. แค่คนเดียว แต่ถึงขนาดผู้บัญชาการ ตม. ยังออกโรงมาปกป้อง ให้สัมภาษณ์ยียวนว่า “ทำงานโดดเด่น” สวนถามนักข่าวสาวว่า “มีสามีหรือยัง?” จะได้เข้าใจ
หากได้สามีรวย มียศจะสบาย ส่วนจะไปเกี่ยวพันกับเรื่องเทาๆ อย่าไปสน
แม้จะมาขอโทษขอโพยทีหลัง แต่ย่อมเห็น “วิสัยทัศน์” ครั้งแรกแล้ว รู้ซึ้งถึงเซลล์สมอง
แต่ทีกับลูกน้องที่ไม่โดดเด่นเป็นโขยงกว่า 100 คน ที่โดน “บิ๊กโจ๊ก” ฟันเรื่องวีซ่าของจีนเทา ไม่เคยสัมภาษณ์ปกป้องช่วยว่าที่ทำไปเพราะผู้ใหญ่สั่ง เงินก็ได้ตามน้ำเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่โดดเด่นของ ตม. มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เป็นเรื่องน่าเศร้าของตำรวจ ที่ผู้ใหญ่มักนิยมชมชอบ ชื่นชม “ตำรวจรวยสีเทา” ไม่ทำงานให้ประชาชน ขโมยเวลาราชการ กลับไปทำร้ายสังคม สร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง ปลูกฝังค่านิยมผิดๆ เพราะสามารถดูแลผู้ใหญ่ได้
แต่กับอีกคนทำงานแทบตาย ใช้เหมือนหมูเหมือนหมา กลับถูกทิ้งกลางทาง
หากไม่อย่างนั้น คนอย่างสารวัตรซัวคงไม่ได้เติบโตมีเงินเป็นหมื่นล้านได้หรอกครับ
ไม่ต้องรอให้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างผมมากระทุ้ง จนความโดดเด่นเหม็นเน่าคลุ้งขึ้นมา”
ทั้งนี้ “สารวัตรซัว” ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการเอาไว้ก่อน ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566
แน่นอน, ปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ในสังคมตำรวจ ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้ และใช่ว่าตำรวจเอง จะไม่รู้ รวมทั้งมีการวิเคราะห์วิจารณ์กันมาตลอดว่า ที่แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมันกลายเป็น “ธรรมเนียม” ไปแล้ว ส่วนถ้าจะปราบปรามกันอย่างจริงจัง ก็มีการลูบหน้าปะจมูกค่อนข้างสูง นัยว่า คนที่ไม่ยอมรับ “ธรรมเนียม” นี้ ก็คือ “แกะดำ” ทั้งที่ความจริง มันควรจะเป็น “แกะขาว”
อย่างไรก็ตาม หลังมี “คนกล้า” ท้าทาย อย่าง “ชูวิทย์” ที่ออกมาแฉ ชี้นำเบาะแส พยานหลักฐาน ให้จัดการกับตำรวจที่ทำตัวเป็น “อาชญากร” เสียเอง จนนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนเอาผิดทั้งตำรวจสีเทา และ “แก๊งอาชญากร” จำนวนมาก อาจเป็น “จุดเริ่ม” ทำให้สังคมไทยต้องหันมามองปัญหาที่หมักหมมมานานอย่างจริงจัง พร้อมกับความเป็น “ฮีโร่” ของ “ชูวิทย์”
และที่สำคัญ ถ้าหากมีการออกมาแฉด้วยพยานหลักฐานที่มัดแน่น เช่นนี้ รวมทั้งโยงใย “ระดับบิ๊ก” ได้อย่างต่อเนื่อง การนำไปสู่การแก้ปัญหาทั้งระบบอย่างจริงจัง ก็อาจเกิดขึ้นตามมาอย่างปฏิเสธไม่ได้ และตำรวจทั้งระบบ ก็น่าจะยินดีและพอใจกับการทำลาย “ธรรมเนียม” อันชั่วร้ายนี้ลง เพื่อที่ทุกคนจะได้มีความ “เท่าเทียม” ในการก้าวหน้าในอาชีพ และไม่ต้องห่วงเรื่องต้องใช้เงินเอาใจผู้ใหญ่ หรือ ซื้อความสำเร็จในอาชีพอีกต่อไป นอกจากรับใช้ประชาชน