xs
xsm
sm
md
lg

“จตุพร” ฟาดซ้ำ “แม้ว” ประกาศกลับบ้านก่อวิกฤตใหม่ ชุบชีวิต “ประยุทธ์”-“นกเขา” ซัดหลอก ปชช.แลนด์สไลด์บีบอภัยโทษ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“จตุพร” ซัด “ทักษิณ” กำลังก่อวิกฤตใหม่ ประกาศกลับบ้านโดยไม่ใช้กฎหมาย ไม่เข้าเรือนจำ โกลาหลแน่ เตือนดีลลับอย่าทำ ไม่สมควรยิ่ง แนะถ้าจะกลับก็มาเข้าคุก สง่างามกว่า ผลเลือกตั้งช่วยอะไรไม่ได้ ชี้ ประกาศกลับบ้านครั้งล่าสุด เท่ากับชุบชีวิต “ประยุทธ์” นี่คือ แนวร่วมมุมกลับตัวจริง “นิติธร” ฟาดซ้ำ “แม้ว” หวังผลการเมือง หลอกประชาชนผ่านแลนด์สไลด์ หวังใช้ตัวเลข ส.ส.- จำนวนมวลชนกดดันให้อภัยโทษ

วันนี้ (26 ม.ค.) เวลาประมาณ 09.00 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายนิติธร ล้ำเหลือ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน จัดรายการ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” ตอน “ความจริง...เป็นสิ่งไม่ตาย” ผ่านระบบเฟซบุ๊กไลฟ์ ทางเพจ Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ มี นายธงไชย คำวิเศษณ์ ดำเนินรายการ โดย นายจตุพร ระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณกลับบ้านครั้งล่าสุด จะจุดเชื้อวิกฤตปัญหาให้บ้านเมืองเสียหาย อีกทั้งการกระทำดีลลับในสิ่งไม่สมควรยิ่ง จะโหมเผาตระกูลชินวัตรต้องวายวอดไปด้วย

นายจตุพร กล่าวว่า ตลอด 30 ปี ตนไม่เคยอยู่ด้วยความปลอดภัย เพราะเป็นผลจากการเลือกต่อสู้กับผู้มีอำนาจ การพูดถึงความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย เพื่อสะท้อนปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง และที่ผ่่านมา ได้วิพากษ์วิจารณ์ทุกฝ่าย ที่หนักที่สุด คือ วิจารณ์อำนาจ 3 ป. อันจะนำพาภัยวิกฤตมาสู่ประเทศในอนาคต

อีกทั้ง ประเมินสถานการณ์ว่า ประเทศจะเดินไปถึงเลือกตั้งหรือไม่ และถ้าไม่ถึงเกิดจากวิกฤตอย่างไร ดังนั้น ที่ชัดเจนในวิกฤตแรกคงเกิดจากกรณี ทักษิณ ชินวัตร ประกาศจะกลับบ้านโดยไม่ใช่กฎหมาย ไม่พึ่งพรรคการเมืองแม้แต่พรรคเพื่อไทย จะใช้ใจอย่างเดียว แต่นายทักษิณต้องคดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ถ้ากลับมาจึงไม่มีช่องทางอื่น นอกจากเข้าเรือนจำ ดังนั้น การประกาศกลับบ้านโดยไม่ใช้กฎหมาย จึงเป็นการปลุกความคิดให้นำไปสู่การล้มกระดานได้อย่างง่ายดายอีกรอบหนึ่ง

“ก่อนหน้านี้ ผมบอกว่า ดีลที่ไม่สมควรจะดีล และไม่มีใครยอมรับได้นั้น ถ้่าทักษิณจะกลับบ้าน ก่อนมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งก็กลับมา สังคมจะได้ตั้งหลัก หากกลับบ้านช่วงเข้าโหมดมีเลือกตั้งแล้ว จะไม่ได้เลือกตั้ง หรือเลือกตั้งเสร็จผลการเลือกตั้งก็ไม่ได้ใช้ เพราะจะพังในสถานการณ์อื่นๆ”


นายจตุพร กล่าวว่า การไปผูกติดความรักของประชาชน คนยากจนที่มีจำนวนมาก โดยมองเพียงมุมนโยบายที่สำเร็จ แต่ไม่รับรู้ในคดีเกี่ยวข้องทุจริตของทักษิณ ดังนั้น อารมณ์สองทางนี้จะเป็นแรงกระแทกของสังคม

“สำหรับผมถ้าไม่เกิดปรากฎการณ์ฮ่องกงปี 62 (แยกสลายแกนนำเสื้อแดงไปหาเสียงเลือกตั้ง) ปี 63 (ถูกเย้ยหยามไปช่วยหาเสียงให้นายก อบจ.เชียงใหม่) และ ปี 66 (เหยียบย่ำศักดิ์ศรี กล่าวหารับงานมาสกัดแลนด์สไลด์) จึงเกิดฮ่องกงเอฟเฟกต์ลุกลาม จนทักษิณและคนเกี่ยวข้องหลีกเลี่ยงจะตอบข้อเท็จจริง แต่ใช้วิธีการด้อยค่า การโชว์เหนือกว่า (มาทำลาย) ซึ่งข้อเท็จจริงไม่มีใครจะมาโชว์เหนือกว่าใครได้ ดังนั้น วาจาทักษิณไม่กี่ประโยคจึงเป็นการปลดปล่อยผม”

นายจตุพร กล่าวว่า เวลาที่ผ่านมา ได้สู้มาก่อนที่จะรู้จักทักษิณ สู้โดยไม่คิดแสวงหาความสุขส่วนตัว หรือเอาประโยชน์ส่วนตัว แต่เดินตามแนวทางชีวิตที่ประชาชนปรารถนาได้มีความสุข ไม่ต้องทนอยู่กับมนต์สะกดของความเท็จทั้งหลาย แต่ไม่เคยเดินไปถึงสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่แทัจริงได้สักวันเดียว อีกทั้งเลือกตั้งครั้งหน้าก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงและถูกต้องเช่นกันตามเคย ตนจึงพูดเสมอให้มาทำประเทศให้ถูกต้องก่อนเลือกตั้ง ต้องแก้ ส.ว.250 คน และองค์กรอิสระที่อยู่ในอำนาจของคณะ 3 ป. ดังนั้น เมื่อเพิกเฉยกัน เจตนารมณ์ของประชาชนจึงไม่มีวันถูกสะท้อนกันอย่างจริงๆ

อีกอย่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่มีปัญญาหรือมีปัญญา แต่ไม่จัดการซื้อเสียงเลือกตั้งได้เลย ทั้งที่ประชาชนรู้กันทั่วไปหมดว่า การเลือกตั้งทุกชนิดล้วนมีการซื้อเสียง ดังนั้น เมื่อประชาธิปไตยลงเอยด้วยการซื้อเสียง ถูกแลกด้วยเงินตราก็เท่ากับเป็นการซื้อขาด ซึ่งเป็นการลงทุนแล้วไปถอนทุน จึงเปิดช่องให้ทหารขี่ม้าขาวเข้ามาปราบคนโกง แล้วสุดท้ายอัศวินม้าขาวไม่เคยออกไปแบบม้าขาวเลย คือ เข้ามาทุจริตเช่นกัน แล้งยังเป็นเผด็จการเข้มข้นอีกต่างหาก


“วันนี้เราเห็นสัญญาณว่า วิกฤตจะเกิดขึ้น ทักษิณจะมีกลยุทธ์พูดถึงการกลับบ้าน โดยไม่รับผิดชอบเหมือนเดิม จะกลับบ้านก็กลับได้ทุกเวลา แบบสง่างาม คือ เดินเข้าเรือนจำ ทุกคนยกย่อง หรือถ้ากลับมาเพื่อให้เกิดวิกฤตแบบเผด็จการทรราชในอดีตจนเป็นชนวนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519”

นายจตุพร ย้ำว่า การพูดของตนไม่เกี่ยวกับการขวางแลนด์สไลด์ แต่เป็นหน้าที่ต้องรักษาชาติบ้านเมืองจากวิกฤตที่มากมายไว้ที่ทำให้ประเทศเสื่อมทราม ทั้ง ตู้ห่าว เรื่องกระทรวงทรัพยากรฯ หรือทรัพยากรของชาติที่จะเป็นรายได้ใช้หนี้ให้ประเทศกลับยกให้ทุนต่างชาติ ดังนั้น ตลอดเวลาเราจึงเลือกข้างประเทศไทย

“ทักษิณต้องนึกช้าๆ ว่า ฟังใครหรือเปล่า เพราะโรคของผู้มีอำนาจเหมือนกันหมด ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ทักษิณ ต้องการฟังแต่ข่าวดี ไม่อยากฟังข่าวร้ายที่เป็นความจริง แต่ชอบคำสอพลอ ชอบคำสรรเสริญเยินยอ จึงนำพาสู่ความฉิบหาย”

นายจตุพร กล่าวถึงการพูดถึงกรณีทักษิณกลับบ้านว่า เพราะไม่ต้องการให้อนาคตเกิดเหตุการณ์เลวร้าย และมีความตายของชาวบ้านขึ้นมาอีก อย่างไรก็ตาม การพูดเพื่อความถูกต้องย่อมลำบาก อยู่ยาก แต่ต้องเลือกแม้ไม่ปลอดภัยและเดือดร้อน จึงไปสร้างความคับแค้นของทั้ง 3 ป.และทักษิณ ส่วนตนไม่เลือกทั้งสองทาง โดยขอเลือกข้างประเทศไทยมาก่อน

ยิ่งกว่านั้น ที่ผ่านมา สุดท้ายตนเห็นระหว่างก่อนมีอำนาจที่แลกด้วยเลือดเนื้อ ชีวิต คราบน้ำตาของประชาชน เมื่อได้อำนาจแล้วกลับเอาไปให้ผู้ที่ฆ่าประชาชน สิ่งนี้เจ็บปวดมาก คนที่ร่วมเป็นร่วมตายอยู่ที่เถียงนา เมื่อเอาอำนาจไม่รอดก็ไปตามมา เวลารบได้รับบาดเจ็บร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล หน้าเต็มด้วยเลือด แต่ไปเอาใครไม่รู้ หน้านวลขาวผ่องสะอาดสดใสมามีอำนาจปกครองประเทศชาติบ้านเมือง

“คนพวกนี้ไม่เคยเห็นเลือดเนื้อ ไม่เห็นหัวใจประชาชนว่า เขาต้องแลกด้วยชีวิต เพราะในความเป็นมนุษย์สิ่งที่เท่ากันอย่างเดียวคือชีวิต ฐานะร่ำรวยไม่มีวันเท่ากัน โอกาสไม่มีวันเท่ากัน แต่คนเวลามีอำนาจมันไม่เคยคิดว่าชีวิตคนเท่ากัน มักคิดว่าชีวิตตนเองเหนือกว่า ตัวเองบันดาลได้ด้วยเงิน แต่ลืมว่า คนเข้ามาร่วมนั้น เขาเอาชีวิตเข้ามาหุ้น เขาเอาสมบัติที่มีมูลค่าสูงสุด คือชีวืตที่เอามาเดิมพัน”


นายจตุพร กล่าวว่า การพูดในสิ่งที่อธิบายมาไม่ได้พูดเท็จ เพราะถ้าไม่จริงย่อมถูกสวนได้ แต่สิ่งที่พูดคือ ความจริง และเป็นความเจ็บปวดทั้งหลาย ตลอดเวลาเส้นทางการต่อสู้ ตนมักพูดเสมอว่า ถ้าคิดเรื่องตัวเอง เมื่อทักษิณผิดคำพูดก็ต้องไปแล้วตั้งหลายปี แต่ต้องทนอยู่เพราะไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่สู้เพื่อขบวนการต่อสู้ที่แลกกับชีวิต ความเจ็บปวด และความตายทั้งปวง ดังนั้น เมื่อมีการยึดอำนาจแล้วตนจะมาต่อสู้อีกทำไม ต้องติดคุกต่อทำไม ยิ่งฝ่ายทักษิณกำลังมีอำนาจเมื่อถูกถากถางก็ต้องน้อมรับ ถ้าคิดจะเอาประโยชน์จากทักษิณ แต่ไม่ใช่คนอย่างตน

“สิ่งสำคัญช่วง 8 ปีที่ผ่านมา เราได้ฟาดฟันกับประยุทธ์มาตลอด แต่ว่าภัยที่กำลังจะมา มีเชื้อไฟอย่างดี คือ นายกฯ ทักษิณ ที่ประกาศจะกลับบ้าน เหมือนที่ท่านพูดหลายครั้งว่ากลับบ้าน กลับบ้าน กลับบ้าน แต่ครั้งนี้มันมีมิติที่แตกต่างท่านบอกจะกลับโดยไม่ใช้กฎหมาย ไม่ใช้พรรคเพื่อไทย ไม่เกี๊ยะเซียะพลังประชารัฐ จึงคิดเป็นอื่นไม่ได้เลย

“ถ้าท่านเป็นคนทั่วไป ท่านต้องไม่หนีคดีเลย ต้องยืนหยัดเดินเข้าเรือนจำอย่างสง่างาม ผู้นำมาเลเซีย ผู้นำเกาหลี ผู้นำฟิลิปปินส์ เคยติดคุกกันทั้งนั้น แต่ตลอดเวลาท่านไม่ได้เลือกใช้ความสง่างามข้อนี้ และการประกาศกลับมันเป็นคำเฝือ ประกาศนับครั้งไม่ถ้วน จนจำไม่ได้ว่าประกาศมากี่ครั้ง” นายจตุพร กล่าว และย้ำว่า การประกาศกลับบ้านแต่ละครั้ง มันมีเรื่องราวที่แตกต่างกัน ตอน พ.ร.บ.สุดซอย ก็เสียมาถึงวันนี้เกือบ 8 ปี และที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเสียอีกกี่ปี

นายจตุพร เห็นว่า ถ้าทักษิณจะกลับมาให้กลับตอนนี้เลย โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เดินเข้าเรือนจำอย่างสง่างาม หากกลับมาก่อนเลือกตั้งจะเกิดความโกลาหล กระดานเลือกตั้งอาจล้มเลย ถ้ากลับมาหลังเลือกตั้ง ซึ่งชนะเลือกตั้งก็เห็นอยู่แล้วว่าเอาตัวไม่รอด 19 ล้านเสียงยังเอาตัวไม่รอด ครั้งนี้จะได้ถึงไหม แล้ว 19 ล้านเสียง เป็นความสัมพันธ์ระหว่างนักเลือกตั้งกับผู้เลือกตั้ง ไม่ใช่ผูกพันด้วยจิตวิญญาณ แล้ว 22 พ.ค. 57 เป็นอย่างไร ดังนั้น ได้คะแนนเสียงเท่าไรก็ป้องกันตัวเองไม่ได้ ท่านคิดว่าชัยชนะครั้งนี้จะเท่าปี 2548 หรือ

“ฉะนั้น อะไรก็ตามที่ท่าน (ทักษิณ) คิดว่า คนไม่รู้ แต่ผมรู้ และพยายามส่งสัญญาณเตือนกันเบาๆ มาตลอดว่า อย่าทำ ที่ไปดีลอย่าทำ เพราะกาละเทศะไม่สมควรใดๆ ทั้งสิ้น ภายใต้เงื่อนไขทักษิณกลับมาโดยไม่ใช้กฎหมาย และไม่เข้าเรือนจำด้วย จะเกิดความโกลาหล มันจะพินาศย่อยยับ ถ้าไม่สงสารตัวเองก็ให้สงสารประเทศชาติบ้าง สงสารประชาชนที่ลำบากมาก”

นายจตุพร ย้ำว่า ถ้าจะกลับบ้านก็กลับมาในวันนี้ ซึ่งยังไม่มีสถานการณ์ใดๆ เมื่อมาแล้วก็เข้าเรือนจำเลย แต่อย่ากลับมาในสถานการณ์พิเศษ เพราะผลการเลือกตั้งไม่ได้ทำให้ท่านกลับบ้านได้ ถ้าได้ เลือกตั้งปี 54 ท่านกลับบ้านได้แล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น ระหว่างอิสรภาพกับการถูกจำกัดอิสรภาพ แต่ถ้าแสดงความกล้าหาญเดินเข้าคุกอย่างสง่างามทุกอย่างจบ ถ้าเป็นกรณีดีลไม่สมควรดีลและกลายเป็นวิกฤตใหม่ ชนะเลือกตั้งแลนด์สไลด์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่เกี่ยวกันกับการกลับบ้าน ซึ่งพิสูจน์มาแล้ว

“ครั้งนี้ การประกาศกลับมาของทักษิณจะเริ่มต้นปลุกวิกฤตขึ้นมา แล้วยังชุบชีวิต พล.อ.ประยุทธ์ ที่กำลังมึนอยู่ก็ฟื้นขึ้นมา เหมือนฉลามได้กลิ่นเลือด เมื่อทักษิณประกาศกลับบ้านโดยไม่ใช้กฎหมาย ไม่ใช้พรรคเพื่อไทย ไม่สมยอมกับพลังประชารัฐ หรือยังพูดไม่ชัดว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาล เท่ากับเปิดทางสว่างให้ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มสำแดงเลย ดังนั้น อย่าไปคิดว่าผมเป็นแนวร่วมมุมกลับของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะผมฟาดกับ พล.อ.ประยุทธ์ มาตลอด แต่แนวร่วมมุมกลับตัวจริงของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร”


ทางด้าน นายนิติธร กล่าวว่า การยอมรับความจริงและอยู่กับความจริงจึงจะเปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งที่ดีตามมาได้ ไม่เช่นนั้น ก็จะย่ำอยู่กับที่และถอยหลังลงไปเรื่อยๆ คนที่เสียหายก็คือประชาชน และกระทบ ประเทศไม่มีความมั่นคง

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยอมรับความจริงว่า เป็นสิ่งที่ประยุทธ์ไม่ทำตามคำพูด และไม่ยอมรับความจริง คือ ไม่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งปัญหากลุ่มอิทธิพลของต่างชาติ การพนันออนไลน์ ซึ่งประชาชนรู้ดี แต่กลับปรากฏมากขึ้น จึงสะท้อนว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการคือความจริง ความถูกต้องและชอบธรรม รวมทั้งการมีชีวิตร่วมกันอย่างมีคุณภาพ

นายนิติธร กล่าวว่า การไม่ยอมรับความจริงแล้วปกปิดไว้ จึงเป็นผลให้เห็นว่า ความจริง เป็นสิ่งไม่ตาย โดยคดีของตู้ห่าวเวลาเกือบ 10 ปี จึงปรากฏขึ้น อีกทั้ง VVIP ของนักท่องเที่ยวจีนก็มีมานานกว่า 10 ปี แต่ผู้มีอำนาจรัฐไม่ดำเนินการเรื่องนี้ ตนกังขาว่า มีอะไรที่ใหญ่กว่านี้ จึงไม่ทำ ทั้งที่เป็นหน้าที่ปกติต้องทำ

นอกจากนี้ การเริ่มต้นจากอำนาจที่ไปยึดเขามา ยังไมได้แก้ปัญหาและไม่ปฏิรูปจริงจัง หรืออยู๋เพียงการโยกย้ายทรัพย์สิน งบประมาณ และอำนาจไปให้กลุ่มทุน ภาพที่เป็นความจริงแบบนี้แต่ไม่ยอมรับกัน ขณะที่สังคมไทยถูกทำให้อ่อนแอ จึงไม่แปลกกว่า 20 ปีมานั้น ประชาชนทำให้ถูกทำให้ยึดโยงกับความผูกพันทางการเมือง ผลประโยชน์และตัวบุคคลจึงเดินหน้าไม่ได้ ก็วนกันแบบเดิมอีก เพราะไม่มีใครกล้าไปเปลี่ยนโครงสร้างที่ทำให้เกิดภาพเช่นนั้น

อีกอย่าง การที่ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ได้ เพราะคนส่วนหนึ่งที่ไปสนับสนุนนั้น ไม่ยอมรับความจริงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้แก่ปัญหาตามที่ให้สัตยาบันกับสังคมไว้ ดังนั้น ความจริงจึงตามมาหลอกทุกห้วงเวลา โดยเฉพาะเรื่องการจะต้องตัดสินใจทางสังคม ด้วยเหตุนี้จึงอยู่ด้วยการโกหก คือ ไม่ยอมรับความจริง จึงแสดงถึงความเน่าเฟะ สังคมล้มเหลว จึงไม่เป็นผลดีกับประเทศ

ดังนั้น นักการเมืองที่ดีของสังคมจึงควรเป็นต้นแบบของสังคม แม้จะเป็นเรื่องยากในการหาความจริง เพราะสังคมซับซ้อนมากขึ้น เข้าถึงความจริงยาก สังคมจึงใช้ความรู้สึกไปจับ แล้วเชียร์กันไป ยิ่งในกรณีทักษิณพูด ในลักษณะที่ไม่พูดความจริงเลย ไม่ได้ตอบโต้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ด้วยเนื่อหาหลักในที่สาธารณะ ทั้งที่ความเป็นสาธารณะคนที่รู้จริงต้องอยู่ในวงใน ใกล้ชิดบุคคลสาธารณะจริงๆ จึงจะรู้ความจริงได้


นายนิติธร กล่าวว่า ทักษิณพูดตอบโต้จตุพรนั้น ไม่ได้ใช้ปัญญา แต่เป็นสัญชาตญาณของสัตว์ป่าในการตอบโต้ ใช้การเหน็บแนม แล้วเอาเท็จบวกเท็จๆๆ ไปสร้างข้อเท็จจริงใหม่ จึงเป็นพฤติกรรมของคนไม่เอาความจริง วิธีการพูดก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นทุกข์ตลอดเวลา ดังนั้น เบื้องแรกทำให้เป็นสุขของทักษิณ ต้องยอมรับความจริงก่อน ถ้าไม่ยอมรับความจริงในด้านโทษ ก็ต้องรับความจริงด้านทุกข์ของคุณ

“สิ่งที่คุณไม่ยอมรับโทษ จึงทำให้คุณเป็นทุกข์กับการทำในสิ่งที่ไม่จริงกับการคาดหวังของประชาชน และกระทบกับการขัดกับกฎหมาย ที่คุณทุกข์วันนี้ไม่ใช่ผลทางคดี แต่ทุกข์ที่สุดคือคุณจะอยู่กับความจริงได้อย่างไร หรือจะสร้างสิ่งปกปิดต่อไปให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ซึ่งเป็นชีวิตของคุณ จะทำอย่างไรก็แล้วแต่คุณ” นายนิติธร กล่าว

พร้อมกล่าวว่า ความจริงของทักษิณวันนี้คือหนีไปอยู่ต่างประเทศ เป็นความจริงที่ศาลพิพากษาตัดสินคดีถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น ชีวิตของทักษิณในประเทศไทย กระบวนการทางยุติธรรมได้ตรวจสอบแล้ว และคุณได้ต่อสู้การตรวจสอบนั้นแล้วอย่างเต็มที่และชอบธรรม ถึงที่สุดคุณขาดความเป็นมนุษย์ตรงไม่รับผิดชอบในสิ่งที่กระทำ

อีกอย่างทักษิณ บอกไม่กลับปีที่แล้วเพราะมีอันตรายคืออะไรจึงกลับไม่ได้ แต่ตนบอกได้ว่า ทุกวันนี้ทักษิณยังอันตรายอยู่และจนถึงวันกลับยังอันตรายก็ไม่จางหายไปและยิ่งเข้มข้นขึ้น ดังนั้น คนอย่างคุณไม่มีทางได้กลับ

นายนิตธร ย้ำว่า ทักษิณพูดถึงการกลับบ้านนั้นมีความมุ่งหวังทางการเมืองเป็นหลัก การพูดว่า กลับมาไม่พึ่งกฎหมาย นั่นหมายความว่า คุณจะพึ่งประชาชน จึงต้องหลอกประชาชนผ่านขบวนการแลนด์สไลด์ และสื่อผ่าน อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นลูกสาวและมีฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แคนดิเดทนายกฯ ให้ส่งสัญญาณถึงประชาชน

“การไม่ใช้กฎหมาย จึงหมายความว่า คุณกำลังคิดเอาประชาชนเป็นเหยื่ออีกครั้งหนึ่ง เหมือนที่เคยทำมา ดังนั้น พี่น้องประชาชนจึงควรไปดูข้อมูลต่างๆ ที่ทักษิณทำไว้กับประชาชนมาตรวจสอบความจริงกันดู ขณะที่พูดนั้นมักใช้คำว่า เราๆๆ ให้เป็นความรู้สึกร่วมกับประชาชนแต่เมื่อเป็นผลประโยชน์กับตัวเองจะใช้คำว่า ผม ดังนั้นการไม่พึ่งกฎหมายจึงเป็นปัญหาที่หนึ่งของสังคมไทย และไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช้เกมการเมืองที่หลอกประชาชน

นายนิติธร กล่าวว่า การบอกไม่ใช้พรรคเพื่อไทย ถ้าเพื่อไทยเกี่ยวข้องต้องถูกยุบ เพราะทำกิจกรรมนอกเหนือการเมือง ไปสนับสนุนนักโทษ การเพิกเฉยต่อพฤติกรรมของพรรคการเมืองที่ไปสนับสนุนคนทำผิดกฎหมาย ซึ่งควรพอได้หรือยัง

ส่วนการบอกว่าจะให้อุ๊งอิ๊งเป็นคนประกาศนั้น นายนิติธร กล่าวว่า เป็นการให้ไปสัมพันธ์กับมวลชนเพื่อประเมินการตอบรับ แล้วนำมาเก็บเกี่ยวประโยชน์การกลับบ้าน อีกทั้งใช้ลูกส่งสัญญาณเป็นศูนย์กลางการนัดหมายการกลับบ้าน จึงแสดงว่า ทักษิณพูดความจริงไม่ครบ และพยายามทำพฤติกรรมให้เชื่อมโยงว่าประชาชนมาเลือกพรรคเพื่อไทยเท่ากับเลือกให้คุณกลับบ้านไปด้วย

อีกทั้งระบุว่า อีกแบบหนึ่ง เอามวลชนมาบีบกษัตริย์ให้อภัยโทษ ซึ่งไปไกลกว่าการนิรโทษกรรม เท่ากับเป็นการกดดันกษัตริย์ โดยอ้างตัวเลขเลือกตั้งเข้ามา อ้างความประสงค์ของประชาชน จึงท้าทายกษัตริย์ เพื่อสนองตอบประโยชน์ของคุณโดยตรง ดังนั้น คุณจะกลับบ้านหรือต้องการล้มสถาบันกษัตริย์

“ทักษิณบอกว่ากลับบ้านด้วยใจล้วนๆ แต่ที่ผ่านมา คุณปอดแหกมาตลอด หนีจากผู้มีพระคุณคนยากไร้ หลอกเขามา และใจไม่ถึงจะเดินเข้ามา แล้วจะคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ จะเดิมพันหรือไม่ว่าครอบครัวจะอยู่ได้ ถ้าเดินเกมนี้ คนจะรับผิดชอบคือ ครอบครัวคุณ วันนั้นอย่าถามว่า ครอบครัวหายไปไหน ไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง”

นายนิติธร กล่าวว่า ถ้าทักษิณกลับบ้านได้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (น้องสาว) ก็กลับได้ หรือเข้ามาพร้อมกัน พี่น้องต้องการบ้านเมืองอย่างนี้หรือ คนที่ถวายงานกษัตริย์ไปคิดดู จะปล่อยให้บ้านเมืองเป็นแบบนี้หรือไม่ แต่อย่าตัดตอนด้วยการรัฐประหาร และ รัฐบาลขณะนี้ ทำให้ทักษิณแข็งแรง เพราะไม่ทำงาน เอาแต่โกง และพัฒนาระบอบ 3 ป.

“ถ้าพี่น้องเผชิญหน้ากัน คนอย่างทักษิณก็ไม่ร่วมรบ คนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ไม่ร่วมรบ ใครจะมาร่วม กลุ่มทุนจะร่วมรบด้วยหรือไม่ถ้าเกิดวิกฤต และคนพวกนี้ก็อยู่ในท่ามกลางความตายของการเปลี่ยนสังคมมาตลอด ดังนั้น พอหรือยัง พร้อมยอมรับความจริงหรือไม่”

นายนิติธร ถามว่า เมื่อเกิดวิกฤตปัญหาขึ้นใครจะมาร่วมต่อสู้กับประชาชน แล้วพี่น้องประชาชนไม่ควรมาเผชิญหน้ากัน เราคนยากไร้ เดือดร้อน เราอย่ามาสู้กันเอง ดังนั้น เราต้องเอาความจริงนำหน้า อย่าเผชิญหน้ากันเองจะไม่เกิดความเปลี่ยนแลง ต้องสู้คนที่เหนือกว่าจึงจะเปลี่ยนแปลง


กำลังโหลดความคิดเห็น