เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้หากมองในมุมน่าเห็นใจสำหรับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เวลานี้กำลังใช้ “ใจบันดาลแรง” สุดชีวิต เดินสายขึ้นเหนือ ล่องใต้ ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ไม่รู้จัดเหน็ดเหนื่อย เอาเสียเลย ทั้งที่เท่าที่มองด้วยสายตา ก็รู้ว่าเขาสุขภาพไม่ค่อยดีนัก เดินเหินไม่สะดวก จนที่ผ่านมา ก็ยังเคยบ่นออกมาให้ได้ยินหลายครั้งว่ามีปัญหา และลังเลที่จะไปต่อในแวดวงการเมืองและอำนาจ หลังจากจบรัฐบาลชุดนี้
แต่กลายเป็นว่า นาทีนี้ภาพที่ออกมาเป็นคนละเรื่อง เพราะนอกจากไม่ลังเล นั่นคือ เดินหน้าเป็นนักการเมืองเต็มกำลัง ประกาศพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ซึ่งคราวนี้จะเป็นการ “แย่งชิง” กับน้องรักที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาหลายสิบปี กับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ
กลายเป็นว่า ทั้ง “สอง ป.” ตอนนี้แข่งกันแบบเอาเป็นเอาตายแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้แสดงอาการออกมาให้ภายนอกได้เห็น แต่สำหรับภายในทุกคนย่อมสังเกตเห็นชัดเจนกันอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันตามความเป็นจริง พิจารณาจาก “กระแส” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยมองจากผลสำรวจจากทุกสำนักล้วนออกมาตรงกันว่า ชื่อของเขาแทบจะเลือนหายออกไปจากจอ เมื่อพูดถึงเรื่องความนิยมทางการเมือง หรืออาจอยู่ในชื่อท้ายๆ ทุกครั้ง
แต่หากพิจารณากันในเรื่อง “คอนเนกชัน” ก็ต้องยอมรับว่า “พี่ใหญ่” คนนี้ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน ที่สำคัญ บารมีก็แน่นปึ้ก โดยเฉพาะภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่รับรู้กันว่า ล้วนมีแต่ระดับ “เขี้ยวลากดิน” มากมาย รวมทั้งมีหลายกลุ่มก๊วนไม่ค่อยมีใครยอมใคร แต่สังเกตหรือไม่ ว่า “ลุงป้อมเอาอยู่” เพราะทุกคนไม่มีใครกล้าโวยวายกับเขา แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมี “เลือดไหลออก” มากมาย แต่ทุกคนที่ออกไป ล้วนแล้วแต่พูดตรงกันว่าเคารพลุงป้อมกันทั้งนั้น ไม่เคยเห็นใครที่กล้าดาทอ หรือพูดจาให้ร้ายเขาเลย
แต่ดังที่ทราบกันดีว่า ที่ผ่านมา สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ถือว่า มี ส.ส.ไหลออกมากที่สุด มีการแยกย้ายกันไปสังกัดพรรคใหม่กันหลายพรรค ทั้งขั้วฝ่ายค้านและรัฐบาล เช่น ย้ายไป เพื่อไทย ภูมิใจไทย และที่ต้องจับตา ก็คือ การย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็น “เต็งหนึ่งแคนดิเดตนายกฯ” ของพรรค ซึ่งมีการทยอยไขก๊อกออกไปหลายลอตแล้ว และมีการคาดหมายกันว่า ยังจะมีอีกลอตใหญ่ภายในเดือนหน้า หรือหลังจากจบสมัยประชุมสภาครั้งสุดท้าย ในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ หรือหลังจากมีการยุบสภาเกิดขึ้นแล้ว
ด้วยสภาพการไหลออกของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ดังกล่าว ที่มีจำนวนมากที่สุดเมื่อเทียบกับพรรคอื่นๆ จนทำให้มีการคาดการณ์กันว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคนี้น่าจะลดขนาดลงจากพรรคขนาดใหญ่ มาเป็น “พรรคขนาดกลาง” อย่างแน่นอน ส่วนจะกลางแบบไหน แบบ “กลางค่อนข้างเล็ก” หรือไม่ ก็ต้องรอดูอีกระยะ เพื่อตรวจเช็กรายชื่อให้แน่ชัดก่อนถึงวันครบกำหนดเวลาการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ถึงตอนนั้นก็จะแน่ชัดว่าใครอยู่ ใครไปบ้าง
แต่เท่าที่แสดงท่าทีชัดเจนแล้วเป็นที่รับรู้กันแล้วว่า บรรดา “กลุ่มก๊วน” หรือ “ขาใหญ่” หลายคนก็ยังอยู่กับ “บิ๊กป้อม” เท่าที่ไล่เรียงตั้งแต่ กลุ่มปากน้ำ กลุ่มเพชรบูรณ์ กลุ่มกำแพงเพชร กลุ่มครอบครัวรัตนเศรษฐ กลุ่มผู้กองธรรมนัส กลุ่มสามมิตร หรือแม้แต่กลุ่ม “คุณปลื้ม” ที่แม้ว่ายังไม่แถลงออกมา แต่เชื่อว่า น่าจะยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ นี่คือ กลุ่มก๊วนการเมือง หรือจะเรียกว่า “บ้านใหญ่” หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่พวกเขาถือว่ามีฐานเสียงของตัวเองเป็นทุนเดิม และมักจะได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาอยู่เสมอ โดยไม่จำเป็นต้องอิงกระแสแบบเต็มร้อย
นอกเหนือจากนี้ กลุ่มก๊วนพวกนี้หากมองในเรื่องความเจนจัดก็ต้องบอกว่า ระดับ “เขี้ยว” เลยทีเดียว และที่สำคัญก็คือเป้าหมายของพวกเขา ก็คือ “ต้องเป็นรัฐบาลเท่านั้น” ดังนั้น เมื่อเห็นพวกเขาปักหลักอยู่ที่ไหนนั่นก็เหมือนกับว่ามีเครื่องการันตีไปแล้วเกินครึ่งอะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่า บรรดากลุ่มการเมืองพวกนี้จะยังอยู่กันเกือบครบ เป็นการการันตีจำนวน ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง แต่ในความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง ก็คือ พวกนี้ต้องยอมรับว่า “ไม่ได้มีภาพลักษณ์ในทางบวก” หรือ “ไม่มีกระแส” ในวงกว้างที่เป็นพลังส่งเรียกคะแนนให้กับพรรคได้มากนัก เรียกว่า “ใหญ่อยู่แถวบ้าน” นั่นแหละ แต่เมื่อมีคนพวกนี้อยู่มันก็ทำให้อุ่นใจ อย่างน้อยก็รักษาสภาความเป็นพรรคขนาดกลาง ส่วนจะกลางค่อนไปทางไหนค่อยมาว่ากันอีกที
แต่สิ่งที่เห็นในเวลานี้ ก็คือ จะเห็นการเคลื่อนไหว หรือจะเรียกว่า “ดิ้นรน” สุดชีวิต ของ “ลุงป้อม” เพื่อยื้อหรือรักษา ส.ส.ที่มีอยู่ให้ยังอยู่กับพรรคให้มากที่สุด เราจึงได้เห็นภาพ “การปาดหน้า” เกิดขึ้นในหลายจังหวัด ที่เพิ่งเห็นล่าสุดก็มีที่จังหวัดราชบุรี ที่ถึงกับลาประชุมคณะรัฐมนตรีไปเจรจาอ้อนวอนให้ ส.ส.ของพรรคอย่างย้ายออกไป เป็นการเดินทางไปก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะลงพื้นที่เพียงหนึ่งวัน และคิวต่อไปก็จะไปที่จังหวัดพิจิตร และ นครสวรรค์ วันที่ 20 มกราคมนี้ เป้าหมายก็แบบเดิมเหมือนกับที่ราชบุรี นั่นแหละ
จะว่าไปแล้ว หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า การเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร ที่ระหว่างลงพื้นที่ก็มีการสวมแจ๊กเกต กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ที่ดูกระชับกระเฉง เป็นการทำทุกทางเพื่อ “ดึงรั้ง” ส.ส.เอาไว้ให้มากที่สุด โดยเฉพาะ ส.ส.พวกนี้ที่เป็นลักษณะ “บ้านใหญ่” ที่มีแนวโน้มได้เป็น ส.ส.แทบทั้งสิ้น โดยไม่ต้องอิงกับกระแสมากนัก
ขณะเดียวกัน ในทางการเมืองการมีจำนวน ส.ส.อยู่ในมือมากเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มพลังต่อรองสำหรับเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของตัวเอง ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดสักครั้งในบั้นปลายชีวิต ซึ่งเมื่อรวมกับจำนวน ส.ว.ที่มีอยู่ในเครือข่ายมาร่วมโหวตเลือกในสภา มันก็ยิ่งเพิ่มพลังไปอีก แต่หากมองอีกด้านหนึ่ง หากจำนวน ส.ส.ไม่ได้มาตามเป้าหลังการเลือกตั้ง อย่างน้อยมันก็สามารถเป็นพรรคร่วมรัฐบาลได้ทั้งสองขั้ว นั่นคือ “ฝั่งบิ๊กตู่” หากกลับมาได้ก็ ถือว่าชัวร์อยู่แล้ว แต่หากในทางกลับกันอีกฝั่งมาตามคาด คือ ฝ่ายเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร เข้ามา เขาก็ยังมีโอกาสจากการประกาศ “สลายขั้ว” หรือการเป็น “โซ่ข้อกลาง” เชื่อมได้กับทุกฝ่าย แม้ว่าล่าสุด ทางฝั่งเพื่อไทยจะยังไม่ตอบรับก็ตาม ซึ่งก็พอเข้าใจได้คำตอบก็ต้องออกมาแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะยังไม่ทราบผลเลือกตั้ง
ดังนั้น หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว และพิจารณาถึงแนวโน้มจำนวน ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ หลังการเลือกตั้งน่าจะยังรักษาขนาดพรรคขนาดกลางเอาไว้ได้ และเชื่อว่า ยังมีโอกาสสูงในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าขั้วไหนเป็นรัฐบาลก็ตาม แต่สำหรับการเป็นพรรคแกนนำ และสำหรับ “บิ๊กป้อม” ที่จะเป็นนายกฯหากให้ฟันธงตั้งแต่ตอนนี้ยังถือว่ายาก ถึงยากมาก !!