ข่าวปนคน คนปนข่าว
**บิทคับอีกแล้วครับท่าน! ก.ล.ต.ฟันไม่เลี้ยงปรับ75 ล้าน! ซีอีโอร่วมมาร์เกตเมกเกอร์ ปั่นวอลุ่มเทียมลวงลูกค้า "ท็อป จิรายุส" ลอยตัวเหมือนเดิม?!
เรียกว่า ฝ่ายหนึ่ง "ดุดันไม่เกรงใจใคร" ขณะที่อีกฝ่าย "งามไส้ไม่เกรงใจใคร" จริงๆ สำหรับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ซุ่มทำงานเงียบๆ แต่เรียบโร้ย เมื่อเปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 3 รายล่าสุด ได้แก่ ...
(1)บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (2) นายอนุรักษ์ เชื้อชัย และ (3) นายสกลกรย์ สระกวี กรณีสร้างปริมาณเทียมสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 18 เหรียญ ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub ของบริษัทบิทคับโดยเรียกให้ชำระเงินรวม 75,011,241 บาท พร้อมกับกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร
งานนี้ ก.ล.ต. ตรวจสอบเหตุสงสัยว่าอาจมีการสร้างปริมาณเทียม ในศูนย์ซื้อขาย Bitkub โดยพบการกระทำเข้าข่ายเป็นความผิดของบุคคล 3 รายดังกล่าว ร่วมกันในการส่งคำสั่งซื้อ หรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวน 18 เหรียญ อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อหรือขาย ในตลาดบิทคับ
ขณะที่ "สกลกรย์" ช่วงที่กระทำความผิดดำรงมีตำแหน่งเป็น "ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร" และกรรมการผู้มีอำนาจจัดการของ บริษัท บิทคับ สั่งการหรือกระทำการหรือไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ เป็นเหตุให้บริษัทบิทคับกระทำความผิดดังกล่าว
ขยายความกันชัดๆ ก็คือ บริษัทบิทคับ โดย “ซีอีโอสกลกรย์” ได้ทำสัญญากับ “อนุรักษ์” โดยให้นายอนุรักษ์ ทำหน้าที่ดูแลสภาพคล่อง หรือ ที่เรียกว่า Market Maker ในศูนย์ซื้อขาย Bitkub ของตัวเอง และได้ให้นายอนุรักษ์ ยืมเงินเพื่อใช้ในการทำหน้าที่ดังกล่าว
จากการตรวจสอบของก.ล.ต. พบว่า ระหว่าง วันที่ 4 ม.ค. – 5 ก.ย.62 “อนุรักษ์” ได้ส่งคำสั่งจับคู่ซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีเหรียญอื่นอีกจำนวน 18 เหรียญ ได้แก่ ABT ADA BSV CVC GNT IOST JFIN KNC LINK LTC MANA OMG SNT USDT WAN XLM ZIL และ ZRX โดยเป็นการจับคู่ซื้อขายกันเองในบัญชีซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีของตนเองในศูนย์ซื้อขาย Bitkub ซึ่งการจับคู่ซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีกันเองในแต่ละเหรียญ มีสัดส่วนตั้งแต่ ร้อยละ 74 – 99 ของปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาด โดยบริษัทบิทคับ และสกลกรย์ รับทราบถึงการจับคู่ซื้อขายกันเองในบัญชีซื้อขายของนายอนุรักษ์ แต่ไม่ได้มีการทักท้วงการส่งคำสั่งซื้อขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี ของนายอนุรักษ์
การกระทำของ บริษัทบิทคับ และนายอนุรักษ์ เป็นความผิดฐาน ส่งคำสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันเป็นการทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปริมาณการซื้อ หรือขายสินทรัพย์ดิจิทัลตาม มาตรา 46(1) ประกอบ มาตรา 48(2)(3) แห่งพระราชกำหนด การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 (พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ) ประกอบ มาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีบทกำหนดโทษตาม มาตรา 70 แห่งพระราชกำหนดฉบับเดียวกัน เป็นความผิด 18 กระทง (นับตามจำนวนเหรียญ)
ส่วนการกระทำของ “สกลกรย์” เป็นความผิดในฐานะเป็นบุคคลที่รับผิดชอบในการดำเนินงานของ บริษัทบิทคับ สั่งการ หรือกระทำการ หรือไม่สั่งการ หรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ เป็นเหตุให้บริษัทบิทคับกระทำความผิดในกรณีข้างต้น ซึ่งต้องรับโทษเดียวกันตามมาตรา 94 ประกอบ มาตรา 46(1) ประกอบ มาตรา 48(2)(3) แห่งพ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ซึ่งต้องระวางโทษตาม มาตรา 70 แห่งพระราชกำหนดฉบับเดียวกัน เป็นความผิด 18 กระทง (นับตามจำนวนเหรียญ)
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) พิจารณาการกระทำของผู้กระทำความผิดทั้ง 3 ราย ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีพฤติการณ์การกระทำความผิดในลักษณะเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน กับกรณีก่อนหน้าที่ ค.ม.พ. ได้มีมติให้ดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดทั้ง 3 ราย กรณีสร้างปริมาณเทียมสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 4 เหรียญ ได้แก่ BTC BCH ETH และ XRP ซึ่งรวมแล้วผู้กระทำความผิดได้สร้างปริมาณเทียมสินทรัพย์ดิจิทัล จำนวน 22 เหรียญ
ในกรณีนี้ ค.ม.พ. มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 3 ราย ตามควรแก่กรณี โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้ค่าใช้จ่ายของก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด มาตรการห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล และมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของผู้เสนอขายโทเคนดิจิทัลหรือผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
ทั้งนี้ ให้บริษัทบิทคับ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 25,003,747 บาท
ให้ “นายอนุรักษ์” ชำระค่าปรับทางแพ่งและชดใช้ค่าใช้จ่ายของก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 25,003,747 บาท กำหนดมาตรการห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเวลา 4 เดือน และห้ามเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารเป็นเวลา 8 เดือน
และให้ “นายสกลกรย์” ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น25,003,747 บาท และให้นายสกลกรย์ ร่วมรับผิดในมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ดำเนินการกับบริษัทบิทคับอย่างลูกหนี้ร่วม
นอกจากนี้ ค.ม.พ.ได้กำหนดมาตรการห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเวลา 4 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 8 เดือน
การกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัลและการกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวข้างต้นจะมีผลนับต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินทรัพย์ดิจิทัล และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารที่ ค.ม.พ.กำหนดในกรณีก่อนหน้าดังกล่าว
หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง ที่ ค.ม.พ.กำหนด ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ โดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ.กำหนด
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่ "บิทคับ" และ ผู้บริหารระดับสูงของบิทคับโดนผู้คุมกฎอย่าง ก.ล.ต.สั่งลงโทษ แต่ครั้งนี้ดำเนินการทางแพ่ง ที่ถือว่า มีมูลค่าสูงถึง75ล้านบาท มากเป็น "สถิติ" ที่พิสูจน์ได้ว่า บิทคับที่เคยประกาศตัวเองเป็น "สตาร์ทอัป" แห่งยุค และมุ่งสู่ "ยูนิคอร์น" ที่นาย "ท็อป จิรายุ ทรัพย์ศรีโสภา" บอกว่าบิทคับ เป็นสตาร์ทอัปที่คนไทยต้องภาคภูมิใจ นั้นน่าภูมิใจจริงหรือไม่ ?
ขณะช่วงที่โหมทำการตลาดอย่างบ้าคลั่งด้วยการปูพรมทำโฆษณาติดทั้งออนไลน์ ป้ายตามทางด่วน เชิญชวนคนรุ่นใหม่ไม่เว้นแม้แต่นักเรียน เยาวชน มาลงทุนเปิดบัญชีเล่นคริปโตฯ ด้วยการประโคมโอ่ เป็นศูนย์การซื้อขายอันดับหนึ่ง แต่ไส้ในก็เป็นอย่างที่เห็นๆ ทั้ง KUB เหรียญมหัศจรรย์ ปั่นค่าเกินคุณสมบัติจริง ทั้งระบบการซื้อขายที่มีปัญหา มาถึงผู้บริหาร จับมือกับมาร์เก็ตเมกเกอร์ สร้างวอลุ่มเทียม ลวงตาให้ลูกค้าหลงเชื่อ
น่าเหลือเชื่อจริงๆ สำหรับศูนย์การซื้อขายที่ "เจ้ามือ" หรือ เจ้าของตลาดเอาเปรียบลูกค้าอย่างหน้าไม่อาย โดยที่ "ท็อป-จิรายุ" ที่เป็นสัญลักษณ์ของบิทคับ ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ รอดตัว-ลอยตัว อยู่บนปัญหาแบบชิลล์ๆ ทุกครั้งที่ก.ล.ต.ลงดาบกลุ่มเพื่อนคนใกล้ชิดรับไปเต็มๆ
ถามว่า ทำไม ท็อปบิทคับ จึงลอยตัว เพราะ “ท็อป-จิรายุส”ฉลาดพอที่จะไม่รับตำแหน่งบริหาร หรือเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ซึ่งต้องรับผิดชอบตามกฎหมายนั่นเอง...จริงหรือไม่ "ท็อป-จิรายุส" ตอบหน่อยได้มั้ยจ๊ะ?
** รวมกันเราอยู่! 2 ส.กากี่นั้ง “สมคิด+สุดารัตน์” ผนึก 2 พรรคตระกูลสร้าง เป็นพันธมิตรทางการเมือง ประสานพลังคนคุณภาพ-เข้าได้ทุกขั้ว ส่วนเรื่องควบรวมพรรค เดี๋ยวค่อยว่ากัน
ยังไม่ตกล่องปล่องชิ้นกันอย่างเป็นทางการ แต่มาถึงขั้นนี้เดาอนาคตไม่ยาก
ฉากที่ 2 พรรค “สร้างอนาคตไทย-ไทยสร้างไทย” ขนแกนนำมาล้อมวงหารือ แสวงหาแนวทางการทำงานเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ที่ร้าน Corner สุขุมวิท 26 ซึ่งถือว่า เป็นอีเว้นต์ที่สะเทือนเวทีการเมืองไทยไม่น้อย
ทีมงานสร้างอนาคตไทย นำมาโดย “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค พร้อมด้วย “อุตตม สาวนายน-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์”หัวหน้า และเลขาธิการพรรค
ขณะที่ทีมงานไทยสร้างไทย นำมาโดย “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย “โภคิน พลกุล” ประธานยุทธศาสตร์พรรค
พลันที่พบปะกันครบองค์ประชุม ขุนพลทั้ง 2 พรรค ก็ปิดห้องพูดคุยกันเล็กน้อย “เป็นพิธี” ด้วยเชื่อว่า ก่อนหน้านี้มีการหารือ“ในทางลับ” กันมาพอสมควรแล้ว ก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวร่วมกัน
หลักใหญ่ใจความของนัดหมายครั้งนี้ ออกมาจากปาก “โภคิน” ที่ว่าทั้ง 2 พรรคได้พูดคุยกันมาเป็นระยะๆ ในฐานะที่เป็นเพื่อนเก่า เคยทำงานร่วมกันมานาน ซึ่งเห็นพ้องตรงกันว่า ไม่เคยเห็นยุคใด สมัยใด การเมืองย่ำแย่ขนาดนี้ และเห็นว่า ต้องเอาจริงเอาจังในการแก้ไขปัญหา และร่วมแรงร่วมใจกัน
ก่อนที่ “คุณหญิงสุดารัตน์” จะตอกย้ำความสัมพันธ์กับ “อาจารย์สมคิด”ว่า เคยทำงานร่วมกันมาหลายสิบปี และเคยร่วมกันทำนโยบายสำคัญให้กับประเทศสำเร็จมาแล้วในอดีต
ย้อนภาพให้เห็นว่า “2 ส.” ถือเป็น “กากี่นั้ง” คนคุ้นเคยกันมานาน
ขณะที่ “สมคิด” เองนอกเหนือจากสำทับเรื่องวิกฤตชาติบ้านเมือง ที่ไม่สามารถจะนั่งมองเพียงอย่างเดียวได้ จนต้องขยับกลับมาทำงานทางการเมืองอีกครั้ง พร้อมตัดบทคำถามถึง “แคนดิเดตนายกฯ” ด้วยว่า เรื่องตำแหน่งไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือการแก้ปัญหาให้ประเทศให้ได้ เพราะแต่ละคนล้วนแต่ผ่านตำแหน่งสำคัญๆ กันมาแล้ว
อีกทั้งตำแหน่ง “ผู้นำประเทศ”นั้นอยู่ที่ “ฟ้าลิขิต-ฟ้าประทาน”
นัยคำพูดของ “จอมยุทธ์กวง” เสมือนย้อนไปสยบกระแสข่าวว่า ดีล 2 พรรคตระกูลสร้างที่ไม่ลงตัวก่อนนี้ ไม่เกี่ยวกับการจัดวางตำแหน่งในพรรค
อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญที่ต้อง “ขีดเส้นใต้” ไว้ เมื่อทุกคนบนโต๊ะแถลงประสานเสียงตรงกันว่า เป็นเพียงการหารือ และตกลงร่วมมือเป็น “พันธมิตรทางการเมือง” ส่วนเรื่อง“ควบรวมพรรค” ที่จับตากันอยู่นั้น ยังไม่มีการพูดถึงแต่อย่างใด
แต่แค่เพียงการร่วมวงประกาศการเป็นพันธมิตรทางการเมือง ก็ส่งนัยไปถึงดีล “ควบรวมพรรค” ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน
ต้องยอมรับว่า หลัง “กติกาเลือกตั้ง”เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าจะใช้ระบบเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ 400 เขต และ100 บัญชีรายชื่อ โดยใช้สูตรหาร100 ในการคำนวณ กลายเป็น “ปมเงื่อน” ที่แต่ละพรรคการเมือง โดยเฉพาะ“พรรคใหม่-พรรคเล็ก” ต้องหาทางสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคตัวเองก่อนเข้าสู่สังเวียนเลือกตั้ง
ดังจะเห็นได้จากกรณี “ชาติพัฒนากล้า” ที่ “เสี่ยดอน” กรณ์ จาติกวณิช ยกทีมงานจากพรรคกล้า มาอยู่กับ“ค่ายโคราช” พรรคชาติพัฒนา ของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ในปัจจุบัน
เอาเข้าจริงดีลระหว่าง “สร้างอนาคตไทย-ไทยสร้างไทย” นั้นมีมาก่อนพรรคชาติพัฒนากล้าด้วยซ้ำ มีการพูดกันไปถึงชื่อพรรคใหม่ที่ว่า “สร้างไทย” มี “อุตตม”เป็นหัวหน้าพรรค ส่วน“ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการรพรคไทยสร้างไทย ทำหน้าที่เลขาธิการพรรค
โดยวาง “ส.สมคิด-ส.สุดารัตน์” ร่วมเป็นแคนดิเดตนายกฯ
แต่จนแล้วจนรอดดีลต่างๆ ก็ยังไม่ลงตัว เพราะต้องยอมรับว่า มี“เสียงค้าน” จากวงในทั้ง 2 พรรคพอสมควร แผนการฟิวชั่น 2 พรรคตระกูลสร้างก็เลยต้องพับไปชั่วคราว
อย่างไรก็ดี เมื่อคนไม่เห็นด้วยทยอยจากไป เสียงค้านเริ่มสร่างซา ก็นำมาสู่การพูดคุยเจรจากันอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มด้วยการประกาศเป็นพันธมิตรทางการเมือง อย่างที่ว่าไปข้างต้น ส่วนการจะยกระดับมาร่วมกันภายใต้พรรคเดียวกันนั้น ก็เหลือเพียงการลง“รายละเอียด” อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อประเมินดู “กระแส” ที่ผ่านมาของทั้ง 2 พรรค อาจจะไม่ “ขี้ริ้ว” แต่ก็ไม่ถึงกับเปรี้ยงปร้าง ยังอยู่ในระดับแค่ “ประคองตัว” เท่านั้น การผนึกกำลังกันเพื่อ “ปิดจุดอ่อน-เสริมจุดแข็ง” น่าจะตอบโจทย์การเลือกตั้งปี66 ได้มากกว่า
ด้วยจุดแข็งของ“สมคิด-สร้างอนาคตไทย” นั้นอยู่ที่ “ด้านเศรษฐกิจ” ซึ่งขายได้ในภาพกว้าง หากแต่ก็มีจุดอ่อนอยู่ที่ตัวผู้สมัคร-การทำพื้นที่ ที่อาจจะไม่เชี่ยวชาญในระดับ“นักเลือกตั้ง”
เติมเต็มด้วย “สุดารัตน์-ไทยสร้างไทย” ที่มีจุดเด่นในส่วนของกระบวนการจัดตั้งพรรคตามประสาคนที่อยู่กับการเมือง-การเลือกตั้งมาค่อนชีวิต ความถึงลูกถึงคนในการลงพื้นที่ของ“เจ๊หน่อย”
ตลอดจนทีมงาน ผู้สมัครส.ส.ที่ถูกจัดว่าเป็น “เกรดเอ” โดยชื่อของ“ผู้การป๊อป” น.อ.อนุดิษฐ นาครทรรพ และ “เสี่ยเก่ง” การุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ถูกจับวางไว้ในลิสต์ของพรรคไทยสร้างไทยแล้ว
และต่างฝ่ายต่างก็มี “ต้นทุนการเมือง”ในระดับไม่ธรรมดา อุดมไปด้วย“คนคุณภาพ” ไม่ใช่แค่ระดับแกนนำอย่าง “สมคิด-สุดารัตน์-โภคิน-อุตตม-สนธิรัตน์-ศิธา” เท่านั้น ยังมีนักการเมือง-นักวิชาการมีชื่อไม่น้อยหน้ากัน
สำคัญที่ทั้ง 2 พรรคต่างไม่มี “บุคคลต้องห้าม”ในระดับ“คู่ขัดแย้ง” จึงถือว่าสามารถเข้าได้กับทุกขั้ว
มาถึงขั้นนี้แล้ว การจะรวมพรรคกันเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งก็คงไม่แปลก เพราะเรื่องหลักคิด นโยบาย แนวทางต่างๆของ “สร้างอนาคตไทย-ไทยสร้างไทย” ถือว่าเป็น 2 พรรคที่ “เคมีตรงกัน”
ส่วนชื่อพรรคใหม่ เปลี่ยนเป็น 2 พยางค์สั้นๆได้ใจความตอกย้ำแบรนด์ “2 ส.” อย่าง “สร้างไทย” ก็น่าจะลงตัว.