ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เดี๋ยวรู้กัน จิ้งจกทัก “บิ๊กเด่น-บิ๊กโจ๊ก” สอบเจ้าของเว็บพนันประมูลทะเบียนสวย 45 ล้าน
วันก่อนจัดว่าฮือฮาตาแตกกันอึกทึก หลังกรมขนส่งทางบกเปิดประมูลทะเบียนสวย 99 กก ก้าวหน้ามหามงคล “9 กก 9999” โดยผู้ชนะที่เคาะมือหนัก มีชื่อว่า “แทนไท ณรงค์กูล” จากบริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ทุ่มคว้าไปได้ในราคา 45 ล้านบาท
พลันนั้น แสงสปอตไลต์ ส่องไปที่หนุ่มคนนี้ เป็นใครมาจากไหนหนอ? ขณะที่ เจ้าตัวก็โพสต์รัวๆ ด้วยความภาคภูมิใจ “ครั้งแรกกับการประมูลป้ายทะเบียนรถ ป้ายที่สวยที่สุดในทศวรรษ 9 กก 9999 เกินเป้าที่ตั้งไว้เยอะ โดยประมูลเกทับจนนาทีสุดท้าย ตอนแรกตั้งใจจะยอมแล้ว แต่เรามาเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ สุดท้ายกลายเป็นป้ายทะเบียนประมูลที่แพงที่สุดในประเทศไทย ณ เวลานี้ จบไปที่ “45,090,000 บาท #ประวัติศาสตร์สร้างได้ อยู่ที่ว่าใครเป็นคนสร้าง”
มาวันนี้...เพจดัง “สายไหมต้องรอด” ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้ พร้อมโพสต์ข้อความระบุว่า “เดี๋ยวนี้เจ้าของเว็บพนันเขาหันมาเก็บสะสมป้ายทะเบียนแทนเงินสดกันแล้วเหรอ ?? ปปง.- สตช. ทำอะไรกันอยู่ ฝาก “บิ๊กเด่น-บิ๊กโจ๊ก” ตรวจสอบทีค่ะ สายไหมต้องรอด พร้อมชี้เป้าๆๆๆๆๆๆ”
งานนี้ไมรู้ประวัติศาสตร์สร้างมาในวันเดียวจะถูกทำลายลงหรือไม่ รู้แต่ว่า เมื่อจิ้งจกทักมาแบบนี้ “บิ๊กเด่น” พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ไม่น่าจะอยู่เฉย
เบื้องต้นเห็นว่า “พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย” จตร. หัวหน้าชุดทำงาน ศปอส.ตร. ที่เคยจับกุมดำเนินคดี “แทนไท ณรงค์กูล” ในคดีการพนันออนไลน์ และฟอกเงิน เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2563 ออกมาชี้แจงว่า ทางคดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการในทุกมิติ ในทางคดีอาญา พนักงานสอบสวน สน.พญาไท มีความเห็นทางคดีเห็นควรสั่งฟ้อง หากแต่พนักงานอัยการ มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งไป จนกระทั่งที่สุด อัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง คดีอาญาจึงถึงที่สุดไป
ส่วนการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลาง และทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผิดการพนันออนไลน์ ซึ่งเป็นมูลฐานความผิด ใน พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ ในวันที่ 16 สิงหาคม ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษายึดทรัพย์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องในเครือข่าย อาทิ ซูเปอร์คาร์ ปอร์เช่ ลัมโบกินี่ เงินสด สินทรัพย์ดิจิทัล รวมกว่า 176 ล้าน
กรณีที่ “แทนไท” บริษัท ไททัน แคปปิตอลกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เข้าประมูลทะเบียนสวย ตามระเบียบ และหลักเกณฑ์ การดำเนินการประมูลเป็นอำนาจหน้าที่ของขนส่ง ในการออกกฎเกณฑ์ ซึ่งไม่ได้ระบุการห้ามในตัวบุคคลที่เข้ามาประมูล คนที่เสนอราคาสูงสุด ย่อมเป็นผู้ชนะการประมูล
สำหรับ “แทนไท ณรงค์กูล” ตามโปรไฟล์ ว่า เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่น่าจับตา เป็นเจ้าของ บริษัท ณรงค์กูล เวิลด์ จำกัด รับดูแลการตลาดทางออนไลน์ และมีค่ายหนังชื่อ ”แทนไทฟิล์ม” โดย บริษัท แทนไทฟิล์ม โปรดักชั่น จำกัด มีผลงานภาพยนตร์เรื่อง “4 คิงส์ อาชีวะยุค 90s” โดยมีพระเอกสุดเท่ห์ “เป้-อารักษ์” แสดงนำ
หลังจากนั้น “แทนไท” ได้ตั้งบริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด โดยเจ้าตัวทำหน้าที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ด้วยทุนจดทะเบียน 505 ล้านบาท แบบชำระเต็มจำนวน เสียด้วย
ว่ากันว่า ความร่ำรวยแบบลงทุนเปิดบริษัทด้วยทุน 505 ล้านบาทนี้ มาจากการทำกำไรจากการลงทุนในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ช่วงพีกๆ
จากนั้น “แทนไท” ก็ขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มทุนจดทะเบียนอีกกว่า 900 ล้านบาท แน่นอนชำระเต็มเหมือนเดิม โดยปัจจุบันมีธุรกิจในเครือรวม 10 บริษัทแล้ว
ดูจากโปรไฟล์ “แทนไท” ก็ถือว่า ไม่ธรรมดา การควักเงินประมูลเลขทะเบียนสวย ที่สร้างประวัติการณ์ 45 ล้านบาท ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงแน่ แต่...คดีเก่าจะผุดขึ้นมาหลอกหลอน หรือไม่ คำตอบอยู่ที่ตำรวจ
ฟังว่า ตำรวจจะร่วมกับขนส่ง เข้าไปตรวจสอบว่า ทรัพย์สินที่เอามาประมูลนั้น เกี่ยวข้องคดีฟอกเงิน ที่เคยถูกจับกุมดำเนินคดีหรือไม่ มีการยักย้ายถ่ายเท หรือไม่ อย่างไร หากพบจะดำเนินการตามกฎหมาย
งานนี้เดี๋ยวรู้กัน เรื่องใหญ่อย่างนี้ต้องติดตามกันต่อไปนะ วิ !!
** ปชป.ระส่ำหนัก ถึงคิวบีบ “จุรินทร์” พ้นหัวหน้าพรรคก่อนสูญพันธุ์
หลังจาก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ทำให้ ปชป. ต้องตกที่นั่ง "พรรคต่ำร้อย" ในการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 62
“จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” อดีต ส.ส.พังงา และ ส.ส.บัญชีรายชื่อรวม 11 สมัย อดีตรัฐมนตรี 5 กระทรวง ก็ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยเอาชนะคู่แข่งอย่าง พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - กรณ์ จาติกวณิช และ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ไปได้
ในยุคที่ “จุรินทร์” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค หลายๆ อย่างที่เคยเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของประชาธิปัตย์ ก็เปลี่ยนแปลงไป ...ระบบอาวุโส ถูกระบบพรรคพวกมาเบียดแซะ จึงเกิดปัญหาภายใน มีการแบ่งกลุ่มแบ่งพวกอย่างเห็นได้ชัด ...ที่ไม่ทนอยู่ก็ลาออกไป อย่างเช่น “กรณ์ จาติกวณิช” ก็ออกไปตั้งพรรคกล้า โดยมี “อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี” ลาออกไปด้วย ... “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ก็ออกไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และล่าสุด เป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ... ส่วน “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ก็ออกไปตั้งพรรคไทยภักดี
เรียกได้ว่า เป็นยุคที่ประชาธิปัตย์ “เลือดไหล” ออกมากที่สุด ขนาด “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” ระดับผู้อาวุโสของพรรค ยังโบกมือลา และล่าสุด “สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล” เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีต ส.ส.ตรัง 4 สมัย ก็ยังลาออก เพราะถูกปฏิเสธที่จะให้ลงสมัคร ส.ส.ในพื้นที่เดิม โดยอ้างผลโพลแล้วตัดสินให้ “คนรุ่นใหม่” มาลงสมัครแทน
และในเร็วๆ นี้ เชื่อว่า ยังมีไหลออกอีกไม่น้อย เพราะกังวลว่าขืนอยู่ ปชป.ต่อไป คงสอบตกแน่
ก่อนหน้านี้ ในช่วงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ประชาธิปัตย์ไปคว้าเอา “ดร.เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มาลงสนาม แต่ก็พ่ายแพ้ ซึ่งก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาในหลายแง่มุม
แต่ที่หนักหนาสาหัส ก็คือ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.นั้น “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” ที่ “จุรินทร์” พาขึ้นลิฟต์มาเป็นรองหัวหน้าพรรค และเป็นคีย์แมนในทีมหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ดันไปโดนแจ้งความดำเนินคดี “อนาจาร-ข่มขืน” จนต้องลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรค และถูกตั้งกรรมการสอบ
ช่วงนั้นก็มีเสียงเรียกร้องให้ “จุรินทร์” แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากหัวหน้าพรรค ในฐานะที่เป็นคนชักนำ “ปริญญ์” เข้าพรรค ... ซึ่ง “จุรินทร์” ก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเหมือนกัน แต่เป็นการลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายสตรีแห่งชาติ ...ไม่ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรค
“จุรินทร์” บอกว่า การลาออกไม่ใช่ทางแก้ปัญหา!!
“ถ้าหากว่า อยู่ๆ ลาออกไป จะกลายเป็นการหนีปัญหา เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในยุคเรา ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องแก้ปัญหาให้ลุล่วง ไม่ใช่ทิ้งปัญหาให้คนรุ่นต่อๆ ไป หรือให้คนอื่นมารับผิดชอบ” คือคำชี้แจงของ “จุรินทร์” ในวันนั้น
ล่าสุด จากปัญหา “เลือดไหล” ไม่หยุด... พื้นที่ภาคใต้ถูกรุกหนักจากพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่ง ทั้งพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ และ รวมไทยสร้างชาติ ยังไม่รู้จะรักษาพื้นที่ไว้ได้เท่าไร ... พื้นที่กรุงเทพฯ ที่เคยสูญพันธุ์มาแล้ว สถานการณ์ก็ไม่กระเตื้อง... ภาคอีสาน และ ภาคเหนือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
โพลจากสำนักต่างๆ แม้แต่โพลที่พรรคทำเอง ผลออกมาชัดเจนว่ากระแสไม่เป็นที่น่าพอใจ ขืนปล่อยไปแพ้ย่อยยับแน่ ก็ขนาดภาคใต้ คะแนนนิยม ของ “จุรินทร์” เจ้าถิ่นแท้ๆ ยังแพ้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ว่าที่แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย
และที่สำคัญ การที่ประชาธิปัตย์ออกมาขวาง ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว กำลังจะเขาสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในวาระ 2 และ 3 ซึ่งประเด็นนี้ถือว่าเป็นการ “ขวางกระแสสังคม” อาจส่งผลให้ประชาธิปัตย์ถึงขั้น “โคม่า” ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง แบบว่าไม่สูญพันธุ์ ก็ใกล้เคียง
ดังนั้น จึงมีความเคลื่อนไหวจากคนในพรรค หาทางบีบให้ “จุรินทร์” พ้นจากหัวหน้าพรรค ด้วยการลาออกจากกรรมการบริหารพรรคให้เกินครึ่งหนึ่ง เพื่อให้กรรมการบริหารพรรคทั้งคณะสิ้นสภาพ จะได้ตั้งคณะใหม่ขึ้นมากอบกู้สถานการณ์ ปรับกลยุทธ์ก่อนลงสู่สนามเลือกตั้ง ให้พรรคกลับมายิ่งใหญ่ในเวทีการเมืองอีกครั้ง
ปัจจุบันพรรคประชาธิปัตย์ มีกรรมการบริหารพรรคเหลืออยู่ 34 คน จากจำนวนเต็ม 37 คน ลาออกเกินกึ่งหนึ่ง คือ 19 คน ... แต่ก่อนหน้านี้ มีลาออกไปแล้ว 3 คน คือ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ - กนก วงษ์ตระหง่าน - สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล โดยที่ยังไม่ได้แต่งตั้งคนมาแทน ตอนนี้จึงขาดอีกเพียง 16 คน
ว่ากันว่า ตอนนี้มีกรรมการบริหารพรรคกว่า 10 ที่ตัดสินใจไขก๊อกไปแล้ว เหลืออีกเพียง 1-2 เสียง ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจ
ก็ต้องวัดใจคณะกรรมการบริหารพรรค ถ้าทำสำเร็จ ก็จะได้ปฏิรูปพรรคตามความตั้งใจ แต่ถ้าไม่สำเร็จ อย่างมากก็แค่ไม่ได้ลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรค หรือต้องย้ายพรรคไปหาที่อยู่ใหม่