ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ได้หนาวกันทั้งป่าอุทยาน! จากอธิบดี"รัชฎา"เอฟเฟกต์ ระทึกถึงรายชื่อบนซอง 20 ราย! งานนี้น่าจะมีอ้าง"จม.ผิดซอง" อ๊ะป่าว ?
ความคืบหน้าการตรวจสอบกรณี "รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา" อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ถูกจับข้อหาทุจริตเรียกรับผลประโยชน์"ซื้อขาย-โยกย้ายตำแหน่ง" เจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด ที่เล่นเอาฉาวโฉ่กันไปทั้งบางราชการ
ปรากฏว่า หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะทำหนังสือออก "หมายเรียก" หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกรมอุทยานฯ ที่ปรากฏรายชื่อตามซองเงินของกลาง ที่ตรวจพบภายในห้องทำงานของอธิบดีรัชฎา มาสอบปากคำในฐานะพยานอย่างละเอียดถึงที่ไป ที่มา
ฟังว่า กลุ่มบุคคล หรือเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ที่มีรายชื่ออยู่ในซองเงินของกลางมีด้วยกันเกือบ 20 ราย!
ขณะที่ตัวเลขยอดเงินภายในซองแต่ละซองจากที่พนักงานสอบสวนตรวจสอบพบว่า แตกต่างกัน บางซองมีมากถึง 1.6 ล้านบาท ส่วนบางซอง ก็เป็นยอดเงินเพียงหลักหมื่น แต่มีเศษปลีกย่อยหลักร้อยบาทผสมรวมมา ไม่ใช่ตัวเลขกลมๆ ซึ่งนี่ก็สอดคล้องกับข้อมูลพยานหลักฐานที่เชื่อว่า มีการเรียกรับเงินอัตราส่วนแบ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ จากงบประมาณที่ได้รับ จึงทำให้ยอดเงินไม่ใช่ตัวเลขกลมๆอย่างที่ควรจะป็น
เรียกว่า จากกรณี "ทั่นอธิบดี" เพื่อนฝูง น้อง พี่ มีได้หนาวกันทั้งป่าอุทยานอย่างไม่ต้องสงสัย
งานนี้คงได้เห็นประจักษ์ว่าอะไรเป็นอะไร ที่แน่ๆ ย่อมจะต้องมีใครหลายคนให้การปฏิเสธ ว่าเป็น" จดหมายผิดซอง" หรือไม่? ...ทำนองซองนั้นเป็นของพี่ แต่เงินในซองไม่รู้ของใคร? จุ๊กกรู๊
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจติดตาม เพราะคนถูกกล่าวหาเป็นถึง "อธิบดี" หรือข้าราชการระดับสูง จะถูกจะผิดอย่างไร ล่าสุดเมื่อวาน (28ธ.ค.) "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จึงตวัดลายเซ็น "เด้งเข้ากรุ" อธิบดีรัชฎา ออกมาจากกรมฯไว้ก่อน โดยมีผลทันที นัยยะเพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ได้สอบสวนเต็มที่ ส่วนการจะปลดออก หรือไล่ออกนั้น ต้องดำเนินการสอบทางวินัย หรือมีความผิดชัดเจนเสียก่อน
แน่นอนฝั่งของ "อธิบดีรัชฎา" ย่อมให้การปฏิเสธ โดยคำให้การบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นถูกกลั่นแกล้ง เพราะมีปัญหาขัดแย้งส่วนตัวกับ "ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ ที่ 9 จังหวัดอุบลราชธานี คนที่ไปแจ้งความเรื่องนี้จนกลายเป็นที่มาปฏิบัติการบุกรวบอธิบดีคาห้อง
ฟังว่า พนักงานสอบสวนไม่ปักใจเชื่อ เพราะเมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่าง “รัชฎากับชัยวัฒน์” ก็พบว่า พูดคุยกันด้วยลักษณะปกติ ไม่มีท่าทีเหมือนกับโกรธแค้น หรือขัดแย้งกัน แต่ทั้งนี้ก็เป็นสิทธิ์ของ “รัชฎา” ที่จะให้การเช่นนั้น
ส่วน “ชัยวัฒน์” คนกันเองในกรมออกมาเปิดเผย หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ได้มีสายลึกลับ โทรมาข่มขู่ลูกน้องตนว่า ไม่ให้เจ้าหน้าที่สำนัก บริหารพื้นที่ที่ 9 จังหวัดอุบลราชธานี ให้การใดๆ เกี่ยวกับทางคดี และยังมีคนโทรเข้ามาขอบคุณ และให้กำลังใจตนจำนวนมาก ตลอดทั้งวัน
“ชัยวัฒน์” ยืนยันว่า ตัวเองทุ่มเททำถึงขนาดนี้ เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของข้าราชการชั้นผู้น้อยและครอบครัว อยู่ดีขึ้น ทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง ในสิ่งที่ตัวเองทำในอนาคต สังคมรับรู้รับทราบมานานแล้วว่า การซื้อขายโยกย้ายตำแหน่ง มีเกิดขึ้นจริง และจะใช้ชีวิตราชการที่เหลืออีก 1 ปีเศษ เดินหน้าปกป้องสัตว์ป่าและทรัพยากรของชาติอย่างเต็มที่
นี่ก็เป็น"เอฟเฟกต์" ที่เกิดขึ้นกับกรณี “อธิบดีรัชฎา” บาดแผลคราวนี้ของกรมอุทยานฯ กว่าจะจบงานนี้ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าใด อย่างที่รู้ๆ กัน การตรวจสอบในระบบราชการนั้นช้า และยืดเยื้อแค่ไหน กว่าจะรู้เรื่องกัน น่าเห็นใจข้าราชการกรมฯ ที่ดีๆ ที่ทำหน้าที่โดยสุจริต เจอเรื่องแบบนี้ก็ท้อแท้ หดหู่ หัวร่อไม่ออก ร่ำไห้ก็ไม่ได้ ได้แต่ภาวนาให้สิ้นเรื่องสิ้นราว สะสางเรื่องนี้ให้จบโดยเร็ว
ไหนๆปีใหม่ใกล้จะมาถึง ก็ขอส่งท้ายปีเก่าด้วยความหวังใหม่กันบ้าง แต่ก็นั่นแหละจะหวังได้แค่ไหนต้องโปรดติดตามกันต่อไป
**อยู่กินกันก้นหม้อไม่ทันดำ “มิ่งขวัญ”ทำท่าจะทิ้ง“ลุงป้อม”ไปซะแล้ว
เพิ่งเป็นข่าวฮือฮาเมื่อต้นเดือนนี้เอง (6ธ.ค.) ที่พรรคพลังประชารัฐ โดย“ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย “สันติ พร้อมพัฒน์” เลขาธิการพรรค และบรรดาแกนนำพรรคชุดใหญ่ มาร่วมแถลงข่าวเปิดตัว “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ที่จะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค
ระหว่างแถลงข่าวเปิดตัว “มิ่งขวัญ” เล่นใหญ่เกินเบอร์ ประกาศว่า“ลุงป้อม”จะพิจารณาให้เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯของพรรค เพื่อไปเป็นตัวแทนในการดีเบต ประชันวิสัยทัศน์ กับแคนดิเดตนายกฯของพรรคอื่นๆ ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง...เจอไม้นี้ทำเอาบรรดาแกนนำพรรคที่มาร่วมเปิดตัวในวันนั้น ถึงกับเหวอไปตามๆ กัน
มีอย่างที่ไหน เข้าพรรคปุ๊บ ก็จะเป็นแคนดิเดตนายกฯทันที จึงเกิดกระแสต้านจากบรรดากลุ่มก๊วน แกนนำภายในพรรค และหลังจากวันนั้นข่าวคราวของ “มิ่งขวัญ” ก็เงียบหายไป
ล่าสุดเมื่อเช้าวานนี้ (28 ธ.ค.) ก็มีรายงานข่าวว่า “มิ่งขวัญ” ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่สำนักงานกกต.แล้ว... บรรดานักข่าวก็เช็กไปที่กกต. ที่จุดรับเรื่องทันที คือถ้ามีใครลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ก็ต้องมายื่นกับเจ้าหน้าที่ที่จุดนี้ ปรากฏว่าไม่มีใครเห็น “มิ่งขวัญ” มายื่นหนังสือลาออก หรือให้ใครมายื่นแทนเลย
ขณะที่ทางพรรคก็รีบออกมาปฏิเสธ โดย “วิรัช รัตนเศรษฐ” รองหัวหน้าพรรค ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นการลาออกที่พรรคพลังประชารัฐ หรือไปที่ กกต. “มิ่งขวัญ” ยังอยู่ช่วยทำงานในพรรค เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็เพิ่งได้รับมอบหมายงานจาก “ลุงป้อม” ให้ไปทำอยู่เลย และเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตนเองก็ยังเจอกับ มิ่งขวัญ ยังพูดคุยกันเป็นปกติ
ส่วน“ลุงป้อม” เมื่อถูกนักข่าวทำเนียบฯ ถามถึงเรื่องนี้ก็ได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่ตอบ กระทั่งเดินไปขึ้นรถแล้ว ก็ได้ยักคิ้ว โบกมือบ๊ายบาย ก่อนรถจะเคลื่อนออกจากทำเนียบฯ
ข่าว “มิ่งขวัญ”ลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จึงเหมือนว่าเป็นเพียงข่าวลือ!!
นักข่าวก็ไม่ลดละ เช็กไปที่กกต.อีกครั้ง ว่ายังมีชื่อ“มิ่งขวัญ” เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ ปรากฏว่า...ไม่มี!!
ไม่ใช่ไม่มีชื่อเพราะสมัครเป็นสมาชิกแล้วลาออกไป...แต่ยังไม่เคยมีชื่อ “มิ่งขวัญ” เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ
ตามระเบียบแล้ว เมื่อมีผู้มาเขียนใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองกับเจ้าหน้าที่พรรค หรือนายทะเบียนพรรค ข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครจะต้องถูกคีย์เข้าระบบของพรรคภายใน 15 วัน และเมื่อมีการคีย์ข้อมูลการเป็นสมาชิกเข้าระบบที่พรรคแล้ว ก็ข้อมูลเหล่านั้นก็จะลิงค์ไปโผล่ที่ กกต. โดยอัตโนมัติ
เมื่อไม่มีชื่อ “มิ่งขวัญ” อยู่ในระบบ ก็เป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่พรรค ยังไม่ได้คีย์ข้อมูลการสมัครเป็นสมาชิกพรรคเข้าสู่ระบบ ...หรือไม่ก็ “มิ่งขวัญ” ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรค...วันนั้นแค่ไปแถลงข่าวเฉยๆ
ชื่อเสียงของ “มิ่งขวัญ” นอกจากเป็นผู้ที่มีความรู้ เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การตลาด การสร้างภาพ แล้วเขายังเป็นนักต่อรองผลประโยชน์ตัวฉกาจ...เหมือนอย่างวันเปิดตัวที่พรรคพลังประชารัฐ เขาบอกเลยว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไม่ใช่แค่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
...ไม่มีบรรยากาศ “ข้าวใหม่ ปลามัน” สำหรับมิ่งขวัญ ตั้งแต่เข้าพรรคมา และเมื่อเวลาผ่านไป 22 วัน แบบว่า “ก้นหม้อยังไม่ทันดำ” เขาคงรู้แล้วว่าเงื่อนไขที่ต่อรองนั้นไม่เป็นผล จึงเป็นไปได้ว่า “มิ่งขวัญ” เตรียมโบกมือลา “ลุงป้อม”ตามที่มีกระแสข่าวออกมา