“เสกสกล” เปิดใจยาวๆ เหตุลาออกเทิดไท คืนรัง รทสช. ปกป้องสถาบันฯ-หนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯต่อ เพื่อแก้ปัญหาชาติบ้านเมือง และความทุกข์ยาก ปชช. เคลียร์ชัดไม่เคยอกตัญญู เพราะ “ทักษิณ” ไม่เคยมีบุญคุณ ตนต่างหากที่มีบุญคุณ ช่วยหาเสียงจนได้เป็น ส.ส.ครั้งแรกในชีวิต
วันนี้ (27 ธ.ค.) นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้” อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ปัจจุบันกำลังจะกลับมาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดใจต้องย้ายจากพรรคเทิดไท กลับพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า เริ่มต้นเดิมทีคำว่า รวมไทยสร้างชาติ เป็นมอตโต้ของท่านนายกฯ พลเอก ประยุทธ์ ท่านได้พูดไว้ในหลายเวที ซึ่งตนมองว่า “รวมไทยสร้างชาติ” เป็นคำที่มีความหมายและมีพลังมาก สะท้อนความสมัครสมานสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวของพี่น้องคนไทย ที่จะนำพาประเทศชาติบ้านเมืองไปด้วยกัน
“ผมจึงมีความคิดว่าหากใช้เป็นชื่อพรรคการเมือง ก็คงจะดี จึงให้คนไปยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอจดจัดตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 และ กกต.ก็ได้พิจารณาอนุมัติให้จดจัดตั้ง และต่อมาได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา 22 กรกฎาคม 2564 นี้ เป็นที่มาของพรรคร่วมไทยสร้างชาติในช่วงเริ่มต้น
และที่สำคัญ ผมคิดว่า ท่านนายกฯ พลเอก ประยุทธ์ ถูกการเมืองบีบกดดันมากเกินไปทั้งจากภายในและภายนอก เวลานั้นผมจึงคิดว่าควรมีพรรคการเมืองไว้รองรับหากเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต และปัจจุบันก็เกิดขึ้นจริงๆ แบบที่ผมคิดไว้จริงๆ”
นายเสกสกล เล่าต่อว่า จุดยืนพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงเริ่มต้นชัดเจน คือ ปกป้องสถาบันหลักของชาติ และสนับสนุนท่านพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน และปัญหาประเทศชาติบ้านเมือง และวันนี้จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันก็ยังมั่นคงเหมือนเดิม เพราะนายพีระพันธุ์เป็นคนดี เป็นคนเก่ง มีฝีมือ มีประสพการณ์ทางการเมืองมากมาย ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย จึงเหมาะสมอย่างยิ่งจะเป็นแม่ทัพคู่ใจเคียงคู่ท่านนายกฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อย่างไรก็ตาม ต่อมาได้เกิดกรณีคลิปเสียงของตน ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น ซึ่งตนยืนยันความบริสุทธิ์ใจมาตลอด สิ่งที่ตนพูดในคลิปเสียงนั้น เป็นแค่การพูดกระเซ้าเย้าแหย่ล้อกันเล่น กับน้องนุ่งที่สนิทสนมกันมานับสิบปีกว่าปี ซึ่งคนใกล้ชิดตนจะรู้ดี และที่สำคัญ ตนพร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง และตนจึงได้ลาออกจากตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
“ตลอดชีวิตการทำงานทางการเมือง ผมยืนยันว่า ไม่เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการทุจริตประพฤติมิชอบต่อประเทศชาติและประชาชน การที่ผมลาออกจากตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีครั้งนั้น เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และเพื่อให้ท่านนายกฯ พลเอก ประยุทธ์ สบายใจ และไม่ต้องการให้กรณีปัญหาของผมกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล ผมมันแค่ฟันเฟืองตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง จะให้ส่งผลกระทบต่อฟันเฟืองใหญ่ๆ ที่กำลังขับเคลื่อนประเทศชาติอย่างท่านนายกฯไม่ได้เด็ดขาด สปิริตทางการเมืองของแรมโบ้จึงยิ่งใหญ่ในหัวใจเสมอ และเพื่อเป็นบรรทัดฐานทางการเมืองให้กับนักการเมืองทุกคนได้นำเป็นตัวอย่าง”
นายเสกสกล กล่าวต่อว่า และเช่นเดียวกัน ตนได้ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติด้วย เพราะต้องการให้ภาพพจน์และการขับเคลื่อนของพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นไปในทางที่ดี ในสายตาพี่น้องประชาชน ไม่ให้เกิดความด่างพร้อยเสียหายต่อทางพรรค และความลำบากใจต่อคณะกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ
“อย่างไรก็ตาม ภายหลังผมลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ มีพี่น้องร่วมอุดมการณ์หลายท่าน เห็นว่า ผมยังพอมีประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองอยู่บ้าง เลยมีการยื่นขอจดจัดตั้งพรรคเทิดไทซึ่งมีจุดยืนเดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอให้ผมไปเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งผมคิดอยู่นานเหมือนกันก่อนจะตัดสินใจ เพราะไม่อยากหักหาญน้ำใจเพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมอุดมการณ์ ผมจึงตัดสินใจรับหน้าที่นี้ไป
และจุดหักเหสำคัญทางการเมืองของผมเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังท่านนายกฯ พลเอก ประยุทธ์ ประกาศความชัดเจนทางการเมือง จะร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ พี่น้องร่วมอุดมการณ์ที่ก่อตั้งพรรคเทิดไท ได้ปรึกษาหารือกันกับผมถึงยุทธศาสตร์ของพรรค ทิศทางแนวทางของพรรคจะเดินไปอย่างไร และก็ได้ข้อสรุปร่วมกัน คือ อยากให้ผมกลับมาช่วยงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ตามที่เป็นข่าว ด้วยเหตุผลสำคัญคือจุดยืนของพรรคเทิดไท กับพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นจุดยืนไม่ต่างกัน ในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ และสนับสนุนท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก เพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน และปัญหาประเทศชาติบ้านเมือง”
นายเสกสกล ยังพูดถึงเสียงดูแคลน ว่า อกตัญญูต่อนายทักษิณ ชินวัตร ว่า ตนถูกดูแคลนเรื่องนี้มาตลอด 8 ปี ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะนายทักษิณ ไม่เคยมีบุญคุณอะไรกับตนมากมาย ตรงกันข้ามนายทักษิณ ต่างหากที่เป็นหนี้บุญคุณตนเอง ที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน แต่คนใกล้ชิดนายทักษิณรู้ดี ซึ่งขออนุญาตเอ่ยนามท่านเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช พลเอก เชษฐา ฐานะจาโร นางอรทัย กาญจนชูศักดิ์ และ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เป็นต้น
“เพราะในการเลือกตั้งปี 2538 นายทักษิณ ลงเลือกตั้ง ส.ส.ในนามพรรคพลังธรรม ครั้งแรก ผมถูกทาบทามจากผู้ใหญ่
บิ๊กระดับประเทศคนใกล้ชิดนายทักษิณคนหนึ่ง ให้มาช่วยนายทักษิณและทีมผู้สมัคร ส.ส. ตนจึงชักชวนน้องๆ นักศึกษา อาสาสมัครมาทุ่มเทช่วยกัน ทำให้นายทักษิณ ชนะได้เป็น ส.ส.ครั้งแรกในชีวิต หลังการเลือกตั้งผ่านไป นายทักษิณ ก็ทอดทิ้งไม่เห็นใยดีอะไรกับผม ไม่เคยเห็นเงาหัวคนที่ทำให้ชนะเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. ไม่เคยมองตนอยู่ในสายตา ตนถามกลับตกลงใครที่เป็นหนี้บุญคุณใคร ผมไม่เคยทวงบุญคุณนายทักษิณ และเขาก็ไม่เคยมีบุญคุณอะไรกับผม มีแต่ผมกับทีมงานช่วยเขาได้เป็นส.ส.พร้อมกับคุณอรทัย กาญจนชูศักดิ์” นายเสกสกล ยืนยัน
นายเสกสกล เล่าต่อว่า หลังจากนั้น ตนมาลงสมัคร ส.ส.ในปี 2539 ที่บ้านเกิดโคราชในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่สอบตก หลังพ่ายแพ้แต่ตนก็ฮึดสู้ไม่ท้อถอย ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายเสียงตอบรับดีวันดีคืน ในปี 2542 นายทักษิณจึงให้คนมาชวนไปอยู่พรรคไทยรักไทย และลงสมัคร ส.ส.ในปี 2544 ตนชนะเลือกตั้งได้คะแนนท่วมท้น ด้วยความขยันขันแข็งและลงพื้นที่อย่างหนักของตัวเอง ไม่เคยใช้เงินนายทักษิณมาซื้อเสียงเลือกตั้ง ตนชนะการเลือกตั้งมา 3 ไฟลต์ ด้วยคะแนนที่บริสุทธิ์ เดินกราบไหว้ใกล้ชิดประชาชน ตนจึงไม่มีอะไรที่จะต้องมีบุญคุณกับนายทักษิณ เพราะชนะด้วยความขยันลงพื้นที่ของตนเองตั้งแต่ก่อนเข้าพรรคไทยรักไทย ถ้าตนฐานเสียงไม่แน่น ไม่ดีจริง คนอย่างนายทักษิณคงไม่ส่งผู้ใหญ่มาทาบทามให้ไปลงในนามพรรคไทยรักไทยอย่างแน่นอน
ดังนั้น “ผมมีแต่ช่วยนายทักษิณและช่วยพรรคของนายทักษิณ ให้ชนะเลือกตั้ง นายทักษิณต่างหากที่ไม่รู้ค่าบุญคุณที่ผมช่วยตลอดมา"แต่ที่มายืนข้างและผมเคารพ ศรัทธาท่านนายกฯ พลเอก ประยุทธ์ ในฐานะที่ทำงานใกล้ชิดกับท่าน ได้เห็นความจริงใจต่อประชาชน ต่อประเทศชาติบ้านเมือง ไม่มีแม้แต่จะคิดคด ทุจริต คอร์รัปชัน และท่านยังให้โอกาสคน ให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชา มีความรักลูกน้อง ไม่เคยคิดทอดทิ้งเหมือนคนชื่อนายทักษิณ ฉะนั้นแล้ว ผมจึงต้องขอกตัญญูกับ พลเอก ประยุทธ์ คนนี้คนเดียวตราบสิ้นลมหายใจของผมที่เหลืออยู่ เพื่อให้ท่านกลับมาเป็นนายกฯปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ สถาบันหลักที่เป็นลมหายใจเข้าออกของผม” นายเสกสกล กล่าวทิ้งท้าย