“เจ้าของรีสอร์ตหลีเป๊ะ” ยื่นหนังสือถึง “รองฯ สุชาติ” ให้ความเป็นธรรม เผย มีข้อพิพาทจนศาลตัดสินให้ขายที่ดิน แต่โดนขายที่ดินทอดตลาดไม่ตรง ส.ค.1 โวยคู่กรณีนำชายฉกรรจ์บุกล้อมรีสอร์ต ยันมีพยาน-หลักฐานชี้ชัดได้มาถูกต้อง วอน “กรมบังคับคดี-กรมอุทยานฯ-กรมที่ดิน” ลงตรวจสอบ โอด 3 เดือน โดนแล้ว 3 หมายจับ
วันนี้ (13 ธ.ค.) ที่อาคารรัฐสภา นายสามารถ เจริญฤทธิ์ ผู้ประกอบการรีสอร์ตแห่งหนึ่งบนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมต่อ นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 จากกรณีถูก กรมบังคับคดี ยึดที่ดินที่อยู่ในการครอบครองสิทธิของ นายสามารถ นำไปขายทอดตลาด ตามคำพิพากษาของศาล แต่ปรากฏว่า ที่ดินตามคำพิพากษาของศาลที่อ้างอิงแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) นั้น เป็นคนละแปลงกับที่ดินที่ตั้งของรีสอร์ตของนายสามารถ จนได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ โดยมี นายนาถะ ดวงวิชัย ผู้อำนวยการสำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้หนังสือแทน
นายสามารถ เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้ประกอบการรีสอร์ตบนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล โดยได้ซื้อที่ดินมาจากชาวเลท้องถิ่นตั้งแต่ปี 2550 ก่อนจะมีข้อพิพาทกับฝ่ายโจทก์ ซึ่งแอบอ้างว่า ได้หุ้นกับตนในการซื้อที่ดินที่เป็นที่ตั้งของรีสอร์ตของตนในปัจจุบัน ทั้งที่เป็นเพียงการกู้ยืมเงิน และตนได้การชดใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่โจทก์ได้นำไปฟ้องร้องต่อศาล ซึ่งศาลก็ได้ตัดสินถึงที่สุดเมื่อปี 2557 ว่า ให้ตนและฝ่ายโจทก์แบ่งที่ดินกัน หากตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินขายทอดตลาด และให้นำเงินมาแบ่งกัน ซึ่งตนก็ได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาล ว่า ยังคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประการผ่านกระบวนการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก ส.ค.1 ที่อ้างตามคำพิพากษาของศาลไม่ใช่จุดที่ตั้งของรีสอร์ตของตน จนถึงปี 2564 กรมบังคับคดี ก็ได้นำที่ดินที่พิพาทไปขายทอดตลาด ปรากฏว่า ฝ่ายโจทก์ก็เป็นผู้เข้าไปซื้อที่ดินดังกล่าว ภายหลังซื้อแล้วโจทก์ก็ได้นำกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาบุกรุกพื้นที่รีสอร์ตของตน ทั้งที่ที่ดินตาม ส.ค.1 ที่โจทก์ซื้อจากกรมบังคับคดีอยู่คนละจุดกัน อีกทั้งศาลก็ยังไม่ได้แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย
นายสามารถ กล่าวต่อว่า ในช่วงที่มีข้อพิพาทกันเป็นช่วงเดียวกับที่มีการจัดระเบียบพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ โดยหน่วยเฉพาะกิจป้องกันชายแดนทางทะเลทัพเรือภาคที่ 3 ก่อนที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตาขณะนั้นได้ออกหนังสือแจ้งผลการรังวัดและเขตตำแหน่งที่ดิน ลงวันที่ 23 พ.ค. 2558 ระบุ 3 ประเด็น คือ 1. การนำชี้เขตที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 25 และเลขที่ 32 ทิศและตำแหน่งที่ดิน ไม่สอดคล้องและรองรับกับตำแหน่งที่ดินในพื้นที่จริง 2. การนำชี้เขตที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 25 และเลขที่ 32 เนื้อที่ 6 ไร่เศษ นำชี้เกินกว่าหลักฐานไปประมาณ 2 ไร่เศษ และ 3. การนำชี้เขตที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 25 และเลขที่ 32 สภาพพื้นที่ปัจจุบันเป็นอาคารสิ่งก่อสร้างรีสอร์ท ร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก ชุมชน-ป่า ผลสรุปของคณะกรรมการตรวจสอบที่ดินเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อุทยานแห่งชาติ 2504 จึงให้ นายสามารถ เจริญฤทธิ์ และบริวาร เข้าไปดำเนินการในพื้นที่ เข้าไปก่อสร้าง หรือเข้าไปกระทำการใดๆ ไว้เป็นการชั่วคราว รวมทั้งยังมีพื้นที่ดังกล่าวก็ได้รับการคุ้มครองตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2541 และต่อมาได้มีมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2561 เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินป่าไม้
“หลังปี 2558 ซึ่งเรื่องอยู่ในขั้นตอนการบังคับคดี ผมก็ส่งหนังสือโต้แย้งให้กรมบังคับคดีทราบว่า ที่ดินที่จะดำเนินการขายทอดตลาดนั้นไม่ถูกต้อง เพราะตรงนั้นถือเป็นที่ดินของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ตามหนังสือที่ทางหัวหน้าอุทยานฯ แจ้งมา รวมทั้งได้ยื่นเป็นหลักฐานในชั้นศาลอุทธรณ์ด้วย” นายสามารถ ระบุ
นายสามารถ กล่าวด้วยว่า ในชั้นศาลอุทธรณ์ มองว่า หลักฐานใหม่นี้เป็นกากสำนวน เพราะเป็นการฟ้องร้องเรื่องแบ่งที่ดิน ไม่ใช่ฟ้องร้องว่า ที่ดินเป็นของใคร เมื่อศาลตัดสินเป็นที่สุดตาม ส.ค.1 เลขที่ 25 และเลขที่ 32 ซึ่งมีที่ดินจริง และมีผู้อาศัยอยู่จริงบนเกาะหลีเป๊ะ เมื่อเป็นเช่นนี้ ตนจึงมองว่า กรมบังคับคดี ไม่สามารถนำที่ดินไปขายทอดตลาดได้ ก็ได้ดำเนินการโต้แย้งผ่านหน่วยงานต่างๆ ทั้ง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบ แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆเลย เมื่อต้นเดือน พ.ย. 65 ตนได้ไปแจ้งความดำเนินคดีฝ่ายโจทก์ในข้อหารายงานเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี รวมถึงคดีทางแพ่งด้วย
“ผมเคารพคำตัดสินของศาล แต่จำเป็นต้องโต้แย้ง เพราะไม่ตรงข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย จึงอยากให้กรมบังคับคดี, กรมอุทยานฯ และกรมที่ดิน ช่วยลงไปตรวจสอบว่าที่ดินนั้นตรงตามคำพิพากษาหรือไม่ ถ้าเป็นไปตามคำพิพากษา ผมก็ไม่โต้แย้ง แต่หลักฐานทั้งหมดชัดเจนว่า เป็นที่ดินคนละแปลง” นายสามารถ กล่าว
นายสามารถ เปิดเผยด้วยว่า ที่น่าเป็นห่วงตอนนี้ คือ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 65 ฝ่ายโจทก์ได้นำกลุ่มชายฉกรรจ์มาพยายามปิดล้อมพื้นที่รีสอร์ตของตน โดยอ้างว่า ได้ซื้อที่ดินจากกรมบังคับคดีแล้ว แต่ไม่ได้มีเจ้าพนักงานบังคับคดีมานำชี้ทรัพย์ที่ทางกรมบังคับคดีได้ขายทอดตลาดด้วย ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อุทยานฯก็ได้ทำการตรวจสอบรังวัดที่ดิน และตนได้เป็นผู้นำชี้เขตที่ดินที่ปรากฏว่า ไม่ตรงตาม ส.ค.1 ที่นำมาอ้าง แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีหนังสือแจ้งยืนยันใดๆ จากทางอุทยานฯ และเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตราย ตนจึงได้เข้าลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เกาะหลีเป๊ะ ขณะที่ฝ่ายโจทก์เองก็ได้แจ้งความดำเนินคดีกับตน ฐานไม่ออกจากที่ดินพิพาท จนตนถูกออกหมายจับ 3 ใบ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตนยังได้ไปยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรี รวมทั้งอธิบดีกรมอุทยานฯ แล้วด้วย