ตัวแทนชาวอยุธยาที่ได้รับผลกระทบ ร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน สอบสำนักทรัพยากรน้ำฯ-กรมชล บริหารจัดการน้ำไร้ประสิทธิภาพทำน้ำท่วม 2 ปีซ้อน
วันนี้ (30 พ.ย.) นายพงศกร มงคลหมู่ นายก อบต.รางจรเข้ จ.อยุธยา พร้อมตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านนายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบการบริหารจัดการน้ำของสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และ กรมชลประทาน ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ อ.เสนา อ.บางบาล อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา
นายพงศกร กล่าวว่า ประชาชนใน ต.รางจรเข้ อ.เสนา และใกล้เคียง ร้องทุกข์ว่าได้รับความเดือดร้อนจากการบริหารจัดการน้ำของสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และกรมชลประทาน เนื่องจากต.รางจรเข้ ตั้งอยู่ในพื้นที่ทุ่งรับน้ำจากการระบายน้ำจากเขื่อนชัยนาท ซึ่งเกิดอุทกภัยซ้ำซาก 2 ปีซ้อน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ที่อยู่อาศัยถูกน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือน ถนนสายหลักที่ใช้สัญจรระหว่างหมู่บ้านถูกตัดขาด พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย จากการบริหารจัดการน้ำที่ขาดความจริงจังและไม่มีประสิทธิภาพซึ่งเคยมีข้อตกลงร่วมกันระหว่าง จ.อยุธยา กรมชลประทาน และ กรมส่งเสริมการเกษตร ให้เกษตรกรในพื้นที่รับน้ำทำนาปรังปีละ 2 รอบ เพื่อในช่วงเดือนส.ค.ของทุกปี จะได้ใช้พื้นที่การเกษตรเป็นทุ่งแก้มลิงในการรับน้ำ โดยดำเนินตามนโยบายปล่อยน้ำเข้านา ปล่อยปลาเข้าทุ่ง ซึ่งเป็นวิธีการรับน้ำเข้าทุ่ง และลดปัญหาการเผาตอซังของเกษตรกร รวมทั้งเป็นการปรับปรุงระบบนิเวศน์ในพื้นที่การเกษตร
“แต่จากการบริหารจัดการน้ำของสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทานที่ผ่านมา ส่งผลให้พื้นที่ ต.รางจรเข้ ทั้ง 7 หมู่บ้านกว่า 800 หลังคาเรือน ประสบปัญหาอุทกภัยเต็มพื้นที่ ถนนสายหลักที่เชื่อมต่อระหว่างตำบลที่ก่อสร้างด้วยงบประมาณแผ่นดินกว่า 50 ล้านบาท ชำรุดเสียหายจากเหตุอุทกภัย 2 ปีซ้อน และยังพบว่า การยกระดับบานประตูระบายน้ำแต่ละแห่งไม่สอดคล้องกับปริมาณน้ำในพื้นที่ เนื่องจากกรมชลประทานปล่อยปละละเลยให้เกษตรกรทำนารอบที่ 3 ในช่วงเดือน ส.ค.จึงต้องมีการป้องกันพื้นที่การเกษตรที่มีเกษตรกรจำนวนมากฝ่าฝืนทำนารอบที่ 3 ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมสำหรับประชาชนที่
ได้รับความเดือดร้อนในบริเวณทุ่งรับน้ำ ต.รางจรเข้ ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินเคยตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้เมื่อปี พ.ศ. 2554 และมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลขณะนั้นดำเนินการแก้ไขหลายประการ ทาง อบต.รางจรเข้ จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบ ให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนและป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินของรัฐเสียหายจากการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ของรัฐ”
