“ประวิตร” ใช้ “ใจบันดาลแรง” ลงพื้นที่ต่อเนื่อง ช่วยชาวกำแพงเพชร ให้มีน้ำใช้ตลอดปี เร่งรัด “ฝายลำน้ำปิง” รับฤดูเพาะปลูก สร้างรายได้เกษตรกร ย้ำ 10 มาตรการ ปก.ภัยแล้ง
วันนี้ (21 พ.ย.) เวลา14.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการต่อเนื่อง จากช่วงเช้าในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร โดยในช่วงบ่ายได้ไปติดตามผลการดำเนินงาน การบริหารจัดการน้ำ ณ ฝายชั่วคราวกั้นแม่น้ำปิง หนองวัวดำ ต.โกสัมพี อ.โกสัมพีนคร จ.กำแพงเพชร โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปภาพรวม จาก อธิบดีกรมชลประทาน สืบเนื่องจากปัญหาราษฎรใน 3อำเภอ (อ.โกสัมพีนคร,อ.เมือง, อ.พรานกระต่าย) ไม่มีน้ำใช้อย่างเพียงพอ จากลำน้ำปิง เพราะขาดฝายทดน้ำ ชาวบ้านจึงร้องขอให้ก่อสร้างฝายชั่วคราว ซึ่งมีลักษณะเป็น ฝายกล่องเกเปี้ยน บรรจุหินใหญ่ เพื่อทดน้ำเข้าอาคารปากคลองหนองวัวดำ ซึ่งจะสามารถส่งน้ำให้พื้นที่ชลประทานได้ 20,000 ไร่ และพื้นที่รับประโยชน์อีก 70,000 ไร่ เพื่อช่วยเหลือพื้นที่เกษตรกร ต่อไป จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้พบปะพี่น้องประชาชน ที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมได้กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหาต่างๆ และให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาน้ำอย่างเต็มที่ เพื่อเร่งบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
จากนั้น พล.อ.ประวิตร และคณะ ได้เดินทางต่อไปยังพื้นที่ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่อทองแดง และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาวังบัว อ.เมืองกำแพงเพชร ตามลำดับ เพื่อตรวจติดตามการดำเนินงานการบริหารจัดการน้ำของทั้ง 2 แห่ง ซึ่งโครงการท่อทองแดง สามารถสร้างประโยชน์ต่อพื้นที่เกษตรได้กว่า 500,000 ไร่ และยังเป็นโครงการสำคัญที่สนองพระราชดำริของ รัชกาลที่ 9 ในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของราษฎรอีกด้วย สำหรับโครงการฯวังบัว มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ ทั้งในจังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดใกล้เคียงกว่า 700,000 ไร่ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ได้กำชับการซ่อมแซมฝายที่ชำรุดอยู่ในขณะนี้ โดยเป็นความรับผิดชอบของกรมชลประทาน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และยังได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตาม 10มาตรการ รับมือฤดูแล้ง อย่างเข้มข้นด้วย จากนั้นได้พบปะ เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ และพี่น้องประชาชน ที่มาให้การต้อนรับ อย่างเป็นกันเองด้วยความอบอุ่น
พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวขอบคุณ และนำความปรารถนาดีจากรัฐบาล มายังพี่น้องประชาชนชาวกำแพงเพชร ทุกคน พร้อมกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทุกคน ที่ช่วยกันปฎิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนที่ผ่านมา ด้วยดี และย้ำว่า “ข้าราชการจะต้องทำหน้าที่ประหนึ่ง เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของประชาชน” ขณะเดียวกัน ประชาชนก็ควรให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศร่วมกัน ด้วยความรัก ความสามัคคี เพื่อให้ทุกครอบครัว มีความอยู่ดีกินดี อย่างยั่งยืน ต่อไป
