xs
xsm
sm
md
lg

ครม.รับทราบผลสำรวจการวางแผนในอนาคต เพื่อนโยบายสร้างชุมชนเข้มแข็ง หวังลดค่าครองชีพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ทิพานัน” เผย ครม.รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็น ปชช.เกี่ยวกับการวางแผนในอนาคต 65 เพื่อนโยบายสร้างชุมชนเข้มแข็ง ยกระดับมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม พบส่วนใหญ่พอใจระบบสาธารณูปโภคและต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือลดค่าครองชีพ

วันนี้ (29 พ.ย.) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 ว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการวางแผนในอนาคต พ.ศ. 2565 ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ซึ่งเป็นผลสำรวจโดยจัดเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ประชาชน 46,600 ราย ระหว่างวันที่ 27 มิ.ย.- 12 ก.ค. 65 ในประเด็นที่เกี่ยวกับการวางแผนในอนาคต 7 ด้าน โดยสรุปผลสำรวจได้ดังนี้

1. การวางแผนด้านการเงิน พบว่า ประชาชนร้อยละ 73.2 มีวิธีการวางแผน 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ฝากธนาคาร/สถาบันการเงินอื่น 2. เก็บเป็นเงินสด และ 3. เป็นสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ต่างๆ ขณะที่ร้อยละ 26.8 ระบุว่า ไม่มีการวางแผนด้านการเงินเนื่องจากไม่มีเงินเพียงพอ โดยกลุ่มอายุ 20-59 ปี จะมีการวางแผนด้านการเงินในสัดส่วนที่สูงที่สุด

2. การวางแผนด้านการทำงาน/อาชีพ พบว่า ประชาชนร้อยละ 74 มีวิธีการวางแผน 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ทำงานหรือประกอบอาชีพเดิมต่อไปเนื่องจากมีความมั่นคงสูง 2. หาแหล่งรายได้เสริม เช่น ทำงานล่วงเวลาและทำอาชีพเสริม และ 3. ประกอบธุรกิจส่วนตัว ขณะที่ร้อยละ 26 ระบุว่า ไม่มีการวางแผนด้านการทำงาน/อาชีพ เนื่องจากไม่มีความรู้ในการวางแผน โดยกลุ่มอายุ 20-59 ปี จะมีการวางแผนด้านการทำงาน/อาชีพในสัดส่วนที่สูงที่สุด

3. การวางแผนชีวิตครอบครัว พบว่า ประชาชนร้อยละ 72.7 มีวิธีการวางแผน 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ครอบครัว 2. ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นและ/หรือวางแผนการศึกษาให้บุตรและคนในครอบครัว และ 3. ทำประกันชีวิต ขณะที่ร้อยละ 27.3 ระบุว่า ไม่มีการวางแผนชีวิตครอบครัวเนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว/เป็นเรื่องของอนาคต

4. การดูแลสุขภาพตนเอง พบว่า ประชาชนร้อยละ 89.4 มีวิธีการดูแลสุขภาพตนเอง 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 2. ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ และ 3. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น มังสวิรัติ วิตามิน และคอลลาเจน ขณะที่ร้อยละ 10.5 ระบุว่าไม่มีการดูแลสุขภาพตนเองเนื่องจากคิดว่าร่างกายแข็งแรงไม่จำเป็นต้องดูแลสุขภาพและไม่มีเวลา โดยกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีการดูแลสุขภาพในสัดส่วนที่สูงที่สุด

5. การวางแผนเพื่อสภาพความเป็นอยู่ที่ดี พบว่า ประชาชนร้อยละ 76.5 มีวิธีการวางแผน 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ปรับปรุงที่อยู่อาศัย เช่น ปลูกต้นไม้เพื่อสร้างความร่มรื่น 2.เลือกที่อยู่อาศัยที่ไม่แออัด และ 3. เลือกที่อยู่อาศัยที่สะดวกต่อการเดินทาง ขณะที่ร้อยละ 23.5 ระบุว่า ไม่มีการวางแผนเพื่อสภาพความเป็นอยู่ที่ดี เนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว/เป็นเรื่องของอนาคต โดยกลุ่มอายุ 20-59 ปี จะมีการวางแผนเพื่อสภาพความเป็นอยู่ที่ดีในสัดส่วนที่สูงที่สุด

6. ความพึงพอใจต่อสภาพความเป็นอยู่ในชุมชน/หมู่บ้าน พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ระบบสาธารณูปโภค เช่น น้าดื่ม ไฟฟ้า และอาหาร (ร้อยละ 76) 2. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน (ร้อยละ 72.9) และ 3. ความช่วยเหลือจากคนในสังคม เช่น เพื่อนบ้านและคนในชุมชน/หมู่บ้าน (ร้อยละ 61.1)

7. เรื่องที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือ พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ควรลดค่าครองชีพ (ร้อยละ 65.5) 2. ควรส่งเสริมให้ประชาชนมีอาชีพเสริม (ร้อยละ 54.7) และ 3. ควรจัดหาอาชีพสำหรับผู้ด้อยโอกาส/ผู้สูงอายุ (ร้อยละ 48.3)

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 5 ข้อ คือ 1. ควรให้ความช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน เช่น การลดค่าครองชีพ การสร้างอาชีพเสริมให้ประชาชนและจัดหาแหล่งเงินทุน/เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ 2. ควรส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนในอนาคตด้านต่างๆ เช่น ด้านการเงินและด้านการทำงาน/อาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุน้อย กลุ่มนักเรียน/นักศึกษา และกลุ่มที่มีรายได้น้อย เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 3. ควรส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในการมีรายได้จากการประกอบอาชีพ รวมทั้งการรู้จักวางแผนการออม 4.ควรส่งเสริมให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้คนในชุมชน/หมู่บ้าน เช่น เพิ่มสถานที่จำหน่ายสินค้าของชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียน โดยจะทำให้ชุมชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศเกิดความเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน และ 5.ควรเพิ่มช่องทางการสื่อสารในการแจ้งข่าวสารต่างๆ ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง

“ข้อมูลผลสำรวจดังกล่าวจะนำไปใช้ในการติดตาม ประเมินผล และวางแผนกำหนดนโยบายหรือมาตรการในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการจัดการตนเองและเตรียมความพร้อมของประชาชนทั้งในมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่นให้ประชาชนทุกคนมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ตามนโยบาย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ที่ทุกคนจะต้องพัฒนาเจริญก้าวหน้าไปด้วยกัน จึงได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์เป็นรูปธรรม” น.ส.ทิพานัน กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น