ข่าวปนคน คนปนข่าว
**สีเขียวเหนี่ยวทรัพย์ เมื่อ “เจ้าสัวคีรี” ตามหนี้บีทีเอส ออกสื่อ (อีก) “ชัชชาติ” เว้าทื่อๆ “ใจไม่มีปัญหา” แต่เต้นชะชะช่า
มหากาพย์ทวงหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวออกสื่อเกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อทวิตเตอร์ของรถไฟฟ้าบีทีเอส @BTS_SkyTrain ได้โพสต์ข้อความ “คนเราจะอดทนกับการแบกหนี้ได้นานแค่ไหน…ทำงานแต่ไม่ได้เงิน ต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกวัน… ผู้มีอำนาจโยนไปโยนมา ไร้การตัดสินใจ ถึงเวลาเข้ามาจัดการปัญหา อย่าหนีปัญหา…อย่าปล่อยให้เอกชนสู้เพียงลำพัง ถึงเวลาจ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว 40,000 ล้าน ตบท้ายด้วยการติดแฮชแท็ก “#ติดหนี้ต้องจ่าย”
พร้อมๆ กันนี้ ได้แนบคลิปวิดีโอเนื้อหารวบรวมจากการเผยแพร่ข่าวจากสื่อต่างๆ และย้อนบทสัมภาษณ์ของ “เจ้าสัวคีรี” คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่มีข้อความตอนหนึ่งว่า “จ่ายเงินที่ควรจ่าย 3 ปีกว่า จำนวนเงิน 40,000 กว่าล้าน เพราะเอกชนผู้ลงทุน จ่ายทุกวัน พนักงานก็ต้องจ่าย ค่าไฟต้องจ่าย ผู้ที่มีอำนาจบริหารประเทศอยู่ ไม่ว่าจะเป็น กทม. หรือการเมืองของประเทศ ต้องเข้ามาดูได้แล้ว ดอกเบี้ยขึ้นทุกวัน ท่านใดที่อยู่ในอำนาจควรคิดได้แล้วว่า ดอกเบี้ยที่ต้องเสียไป ยังไงก็ต้องจ่ายผม มันเป็นสิ่งที่ใครเสียหาย ผมเชื่อว่า ประชาชน ภาษีเราเสียหาย อย่าปล่อยให้มันลอยไปลอยมาอย่างนี้ จะเอาอย่างไร เพราะสิ่งหนึ่งที่เราไม่ทำอยู่อย่างเดียวก็ คือว่า เราไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ผมรับปากกับประชาชนว่า ผมจะไม่ยอมหยุดรถ เพราะหยุดรถนี่ ความเสียหายเกิดกับประชาชน ไม่ได้เกิดกับผมอย่างเดียว ไม่ได้เกิดกับนักการเมืองคนไหน
ผมเชื่อว่า ผู้โดยสารของผม ซึ่งผมก็ต่อสู้ให้ท่านทุกวันนี้ คงเข้าใจผม”
แน่นอนว่า หลังทวีตออกสื่อขนาดนี้ นอกจากฟ้องต่อชาวโซเชียลฯ ย่อมต้องการให้ผู้มีอำนาจโดยเฉพาะ ผู้ว่าฯ กทม.ได้รับรู้ ได้ยิน ซึ่งต่อมา สื่อไปถาม “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าฯ กทม. ที่ช่วงนี้ถูกพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก ความวัวกรณีให้ท้าย “ม็อบ 3 นิ้ว” ช่วงเอเปกยังไม่ทันหาย ความควาย เรื่องสายสีเขียวก็เข้ามา จะว่ายังไงโดนทวงหนี้อีกแล้ว
บุรุษที่ได้ฉายาแข็งแกร่งสุดในปฐพี ตอบคำถามแบบเว้าทื่อๆ ว่า
“ใจเราไม่ได้มีปัญหา กทม.เป็นหนี้ก็ต้องจ่าย แต่ต้องเป็นหนี้ที่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย”
ไม่รอให้แปลไทยเป็นไทย ผู้ว่าฯ กทม.บอกว่า ที่ยังไม่จ่ายมีเพียงประเด็นทางกฎหมาย จากที่ข้อบัญญัติ กทม. ระบุว่า การสร้างภาระหนี้ผูกพันงบประมาณ จะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภา กทม.ก่อน จะเห็นว่า สภา กทม. ยังไม่ได้เห็นชอบทำสัญญาจ้างเดินรถ และติดตั้งงานระบบ รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และ ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จึงมีการทำหนังสือเพื่อสอบถามทางสำนักงานเลขาธิการสภา กทม. ว่า ส่วนนี้ผ่านการอนุมัติจากสภา กทม.แล้วหรือไม่ ถ้าไม่มี ก็ต้องมีการทำสัญญาใหม่ให้เรียบร้อยก่อน เข้าใจว่าได้มีการส่งหนังสือไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หรือไม่ก็ภายในสัปดาห์นี้ โดยส่วนของมูลหนี้จากส่วนต่อขยายส่วนที่ 1 เหลือเพียงแต่ให้ทาง ครม. เป็นผู้ดำเนินการตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2562 ที่ต้องการนำมูลหนี้ไปรวมกับการต่อสัญญาสัมปทาน
ขณะที่การรับโอนทรัพย์สินในส่วนต่อขยายส่วนที่ 2 จากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก็ถือว่าเป็นการก่อหนี้ผูกพันเช่นเดียวกัน ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา กทม.เช่นเดียวกัน
สรุปว่า งานนี้คนฟังจะกระจ่าง หรืองงหนักเข้าไปอีกก็ไม่รู้ โดยเฉพาะ “เจ้าสัวคีรี” กทม.เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง ตอบก็เหมือนไม่ตอบ เต้นชะชะช่าไปเรื่อยๆ
ขณะที่ “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมต.มหาดไทย ก็เล่นบทเงียบหายไปกับสายลม
ช่างน่ากลุ้มใจแทนเจ้าสัวเสียจริงๆ สีเขียวนี่เหนี่ยวทรัพย์จริงๆ พับผ่า!!
** “อนุทิน” ปิดทางดึงกัญชากลับเป็นยาเสพติด บอกอย่าถ่มน้ำลายรดฟ้า!!
เมื่อกัญชาถูกดึงมาเป็นประเด็นการเมือง ที่พรรคร่วมรัฐบาลพยายามสกัดไม่ให้ ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่กมธ.วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้วเข้าสู่การพิจารณา วาระ 2-3
ขณะที่ พรรคฝ่ายค้าน ก็จับมือกับแพทยสภา ยื่นฟ้อง “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ศาลฯมีคําพิพากษาเพิกถอนประกาศกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 8 ก.พ. 65 เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีการออกประกาศฉบับดังกล่าว และให้กัญชาจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 8 ธ.ค. 63 เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 พ.ศ. 2563 ดังเดิม
พูดง่ายๆว่า ขอให้ศาลฯสั่งให้กัญชา กลับไปเป็นยาเสพติดเหมือนเดิม... ซึ่งมีรายงานว่าศาลฯได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว แต่ไม่ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ขณะเดียวกัน ก็มีกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวให้เดินหน้ากัญชาเพื่อการแพทย์ต่อไป อย่างเช่น สมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย เครือข่ายคนไทยรักชาติ สภาเกษตรกรแห่งชาติ เป็นต้น
ในแง่มุมของกฎหมายที่เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว กัญชาจะกลับไปเป็นยาเสพติดเหมือนเดิม ได้หรือไม่ ??
“วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ที่มีนัดประชุมกับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในวันนี้ (22 พ.ย.) บอกว่า เรื่องจะทบทวนให้กัญชากลับมาเป็นยาเสพติดนั้น “ทำไม่ได้!!”
แต่ที่นัด ป.ป.ส.มาหารือ ก็เพื่อจะหยิบยก ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับกัญชาขึ้นมาดู ว่ามีอะไรที่ ครม.สงสัย และขอให้อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ช่วยชี้แจง... ยืนยันว่า ป.ป.ส. ไม่สามารถไปดึง หรือไปแก้อะไรได้ เพราะไม่มีอำนาจ และไม่มีอำนาจไปยับยั้งประกาศกระทรวงสาธารณสุขด้วย แม้จะยังไม่ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็ตาม
ขณะที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ที่ออกมารับหนังสือจาก “ดร.พิพัฒน์ นนทนาธรณ์” นายกสมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย ที่นำ 5,000 รายชื่อประชาชน ที่สนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ... และประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องสมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 ลงวันที่ 11 พ.ย. 65 มามอบให้ เพื่อผลักดันให้กัญชาได้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไป ไม่ต้องการให้กลับไปเป็นยาเสพติด
“อนุทิน” บอกว่า รายชื่อผู้สนับสนุนดังกล่าว ทำให้เห็นว่ากัญชามีประโยชน์ ถ้าใช้ในทางการแพทย์ สุขภาพ และส่งเสริมเศรษฐกิจ ด้วยชื่อเสียงและเกียรติภูมิของสมาคมนักวิจัยฯ ถ้าทำในสิ่งที่เสียหาย ก็คงไม่มีใครมาสนับสนุนเรื่องนี้แน่นอน
การจะดึงกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดนั้น ไม่มี เพราะกัญชาไม่ใช่ยาเสพติด ตอนนี้สิ่งที่เป็นยาเสพติด คือ สารสกัดจากกัญชา ที่มีค่า THC มากกว่า 0.2% ประกาศของกระทรวงสาธารณสุขที่ออกมานั้น ได้ให้อำนาจ “รมว.สาธารณสุข” ในฐานะผู้รักษากฎหมาย ฉะนั้น จึงเหลือเพียงขั้นตอนประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น
เมื่อ รมว.สาธารณสุข ลงนามไปแล้ว ก็ไม่มีหน่วยงานไหนที่จะขวางไม่ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ เพราะมันเป็นขั้นตอนตามกฎหมาย รัฐมนตรีที่รับผิดชอบลงนามประกาศแล้ว ก็ถือว่าได้ใช้อำนาจไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วน ป.ป.ส. จะสามารถดึงกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด ได้หรือไม่นั้น “อนุทิน” ชี้แจงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ส. มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งได้มอบหมายให้ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และคณะกรรมการชุดนี้ ประกาศให้กัญชาไม่เป็นยาเสพติด ยกเว้นที่มีสาร THC 0.2%
...ดังนั้น จะไปถ่มน้ำลายรดฟ้าได้อย่างไร และเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องคุยกับ “รองวิษณุ” เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และไม่ได้มีการส่งเสริมในเชิงสันทนาการ ถ้าใครมีความกังวล ที่อ้างห่วงใยเยาวชน ผู้ใช้ในทางที่ผิดกันนักหนา ก็ขอให้สนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ให้เรียบร้อย จะเพิ่มเติม ตัดต่อ เสนอแนะ ในสภาทำได้หมด เพราะกรรมาธิการประกอบด้วยตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรค ข้าราชการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ถ้าเป็นห่วงก็ช่วยกันออกกฎหมาย ไม่มีทางเลือกอื่น...
ขณะที่มุมมองของ “ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.บูรพา ฉายภาพให้เห็นว่า หากกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด คนที่ได้ประโยชน์ คือ เครือข่ายพ่อค้ายาเสพติด พวกทำธุรกิจผิดกฎหมาย ก็จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะมูลค่าของกัญชา หลักพัน หลักหมื่นล้าน ก็จะกลับไปอยู่ที่พ่อค้ายาเสพติด ข้าราชการชั่ว นักการเมืองเลวบางคน ซึ่งไม่แตกต่างจากการกรณี บ่อน ซ่อง หวยใต้ดิน ก็จะมีนักการเมือง พรรคการเมือง ออกมาคัดค้านอย่างแข็งขัน ถ้ามีใครมาสนับสนุนนเพื่อให้สิ่งเหล่านี้ถูกกฎหมาย ควบคุมได้ และรายได้เข้ารัฐบาล นำมาพัฒนาประเทศ เป็นปกติที่มี ส.ส. นักการเมือง หรือพรรคการเมืองออกมาคัดค้านอย่างแข็งขัน โดยพยายามอ้างเหตุผลทางศีลธรรม อ้างผลกระทบต่อประชาชน แต่จริงๆ แล้ว เขากลัวตัวเองเสียผลประโยชน์ คนพวกนี้ ไม่ได้รักประชาชนจริง เขามองแค่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น