เปิดฉากการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกแล้ว นายกรัฐมนตรี ประกาศ หวังผู้นำเขตเศรษฐกิจรับรองเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม สมดุล ยั่งยืน และครอบคลุม ชี้ ไทยนำแนวคิดเศรษฐกิจ BCG มาขับเคลื่อนฟื้นฟูหลังโควิด เป็นแผนแม่บทในการพัฒนาระยะยาว
วันนี้ (18 พ.ย.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปกที่เข้าร่วมการประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจ ครั้งที่ 29 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายแอนโทนี แอลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สมเด็จพระราชาธิบดี พระองค์ที่ 29 และนายกรัฐมนตรีสมเด็จพระราชาธิบดีฮาจี ฮัซซานัล บลเกียะฮ์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละฮ์ อิบนี อัล-มาร์ฮุม ซุลตัน ฮาจี โอมาร์ อาลี ไซฟุดดีน ซาอาดุล ไครี วัดดิน บรูไนดารุสซาลาม นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา นายกาบริเอล โบริก ฟอนต์ ประธานาธิบดีชิลี นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายสีจิ้น ผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น
จากนั้น ได้เป็นประธานเปิดการประชุม และร่วมการประชุมภายใต้หัวข้อ “การเจริญเติบโตที่สมดุล ครอบคลุม และยั่งยืน (Balanced, Inclusive and Sustainable Growth)”
นายกรัฐมนตรี หวังว่า ผู้นำทุกประเทศมีความสุขกับค่ำคืนงานเลี้ยงรับรองผู้นำเขตเศรษฐกิจที่ทางประเทศไทยจัดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา และทุกคนจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งประเทศไทยเป็นเกียรติที่ได้เป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมในครั้งนี้ หลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันถึง 4 ปี และการประชุมเอเปกต่อจากนี้ จะเป็นการร่วมมือกันฟื้นฟูและนำพาภูมิภาคนี้ไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น
สำหรับการหารือในวันนี้ จะหารือกันว่าเอเปกควรทำอย่างไร เพื่อจะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน จนถึงปัจจุบันยังต้องต่อสู้กับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และถูกซ้ำเติมจากความท้าทายของสถานการณ์โลก ที่สำคัญ ยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบ ไม่ใช่แค่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงมนุษยชาติทั้งหมด จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันบรรเทาผลกระทบและปกป้องโลกของเรา โดยไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีกต่อไป ดังนั้น ทุกคนจะต้องปรับมุม วิธีการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจแบบใหม่
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ประเทศไทยได้นำแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ มาเป็นยุทธศาสตร์ในการฟื้นฟูจากผลกระทบโควิด-19 และเป็นแผนแม่บทสำหรับการพัฒนา และการเติบโตในระยะยาว ที่เข้มแข็ง สมดุล ยั่งยืนและครอบคลุม
โดยย้ำว่า เศรษฐกิจ BCG จะประสานแนวคิดเศรษฐกิจภูมิภาคและเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียวเข้าด้วยกัน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อที่จะสร้างคุณค่าเพิ่มประสิทธิภาพ ในการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่า และส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย
เศรษฐกิจชีวภาพ เกี่ยวข้องกับการผลิตที่เน้นการนำเทคโนโลยีนวัตกรรม มาสร้างมูลค่าเพิ่มกับสินค้า ที่เป็นทรัพยากร และวัตถุดิบชีวภาพ ที่ใช้แล้วไม่มีวันหมดไป
สำหรับเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นระบบการผลิตและการบริโภคสินค้า บริการแบบฟื้นสร้าง โดยมีการวางแผนและการออกแบบระบบ ให้ความสำคัญกับการลดขยะ ในขณะเดียวกัน ต้องพยายามใช้วัตถุดิบซ้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ส่วนเศรษฐกิจสีเขียว คือ การส่งเสริมพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบ และแนวคิดเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งสร้างผลกำไรควบคู่กับการสร้างสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืนและสังคมด้วย โดยแนวทางทั้งสาม ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้แนวคิดเศรษฐกิจBCG แตกต่างออกไปคือการตระหนักว่าความท้าทาย หลากหลายที่ผสมอยู่ เชื่อมโยงคาบเกี่ยวกัน ดังนั้นการแก้ปัญหา จึงจะต้องไม่เป็นแบบแยกส่วน ด้วยเหตุนี้เศรษฐกิจBCG จึงให้ความสำคัญ และไทยผลักดันสามแนวทางดังกล่าวอย่างเป็นองค์รวม เพื่อเป็นผลลัพธ์ที่มีผลทวีคูณและหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ได้อย่างเสียอย่าง
นายกรัฐมนตรี หวังว่า การสร้างความร่วมมือและการมีความร่วมมือของทุกภาคส่วนจะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เป็นรูปธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และฟื้นความสมดุล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ไทยเชื่อว่า แนวคิดเศรษฐกิจ BCG มีความเป็นสากล
ดังนั้น การที่ไทยเป็นเจ้าภาพเอเปก ไทยจึงขอเสนอแนวคิดนี้ เข้าสู่การพูดคุยกันในกรอบการประชุม ไม่ว่าจะเป็นแนวทาง การบรรลุเป้าหมาย ด้านความยั่งยืนและสภาพพูมิอากาศ และทำให้ความพยายามของเอเปกในการขับเคลื่อนภูมิภาคไปข้างหน้า ตอบสนองความท้าทาย ที่เร่งด่วนในปัจจุ บัน บนพื้นฐานของแนวคิดเศรษฐกิจ BCG
ไทยยังได้ริเริ่มการจัดทำเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG เพื่อเป็นผลลัพธ์แห่งความจดจำ สำหรับการประชุมเอเปก 2565 โดยเป้าหมายกรุงเทพฯ จะเป็นกรอบแนวทาง ผลักดันวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของเอเปกอย่างชัดเจน พลิกโฉม สมดุล และ ทะเยอทะยาน โดยมุ่งหวัง ขับเคลื่อนงานภายใต้ 4 เป้าหมาย ได้แก่
1. สนับสนุนความพยายาม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. ขับเคลื่อนการค้าการลงทุนอย่างยั่งยืน 3. ผลักดันการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ 4. ปรับปรุงประสิทธิภาพ การใช้ทรัพยากรเพื่อลดขยะให้เป็นศูนย์
ดังนั้น ไทยจึงขอขอบคุณที่ผู้นำเศรษฐกิจที่จะสนับสนุนเป้าหมาย กรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG จนบรรลุฉันทามติด้วยดี และหวังว่า ผู้นำทุกคนจะได้ร่วมกันรับรองเอกสารสำคัญดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นมรดกสำคัญของการประชุมเอเปก ประจำปี 2565 เพื่อต่อยอดเป้าหมายกรุงเทพฯ จึงอยากเสนอให้ทุกคนหารือกันว่า แนวคิดเศรษฐกิจ BCG จะสามารถแปลงวิสัยทัศน์และทิศทางตามที่ระบุไว้ในวิสัยทัศน์ปุตราจายา ของเอเปก ค.ศ.2040 และแผนปฎิบัติการ ROTROR ไปสู่การดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเจริญเติบโตที่ยั่งยืน สำหรับคนรุ่นหลัง ดังนั้น เอเปกต้องมองให้ไกล กว่าการฟื้นตัวของการระบาดโควิด-19 ไปสู่การฟื้นสร้างสภาพแวดล้อมให้มีความยืดหยุ่น และเอื้อต่อการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน ในฐานะกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจชั้นนำของเรา และแหล่งบ่มเพาะทางความคิด โดยเอเปกจะเร่งสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพ เอื้อประโยชน์ทุกคนอย่างเป็นรูปธรรมแก่ทุกคนในระยะยาว แล้วเราจะร่วมมือให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร เพื่อจูงใจให้ภาคธุรกิจ ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และเราจะช่วยส่งเสริมให้ประชาชน ของเราปรับมุมมองและเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นผู้บริโภค และพลเมืองของโลกที่มีความรับผิดชอบ ได้อย่างไร จึงขอรับฟังความคิดเห็นของผู้นำเศรษฐกิจทุกท่าน
สำหรับตลอดทั้งวันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังจะหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปก กับแขกพิเศษ (APEC Leaders’ Informal Dialogue with Guests) ภายใต้หัวข้อ “การค้าและการลงทุนที่ยั่งยืนระหว่างเอเปกกับหุ้นสว่น ด้านการค้า ประกอบด้วย ประเทศฝรั่งเศส กัมพูชา และ ซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ นายกฯจะหารือทวิภาคีกับ Ms.Kristalina Georgieva กรรมการจัดการกองทุนกํารเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF
จากนั้นจะเป็นการหารือระหว่างอาหารกลางวัน ระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปก กับแขกพิเศษ (WorkingLunch)ภ ายใต้หัวข้อ “การส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและวิกฤตเงินเฟ้อ”
ส่วนช่วงบ่าย เป็นการการหารือระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปกกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปก หรือ ABAC (เอแบก) โดย
ช่วงหารือเต็มคณะ ABAC Chair จะนำเสนอรายงานประจำปีต่อผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ซึ่งนายกฯจะกล่าวตอบเกี่ยวกับความคาดหวัง และแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อสร้าง การเจริญเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และครอบคลุม
ต่อด้วยการหารือกลุ่มย่อย แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มประกอบด้วย ผู้นำ 4 เขตเศรษฐกิจ และผู้แทน ABAC 10 คน โดยแต่ละกลุ่มหารือในหัวข้อเดียวกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรี จะเดินรับฟังผลสรุปแต่ละกลุ่ม