xs
xsm
sm
md
lg

“ปวิน” ดวล “หมอเหรียญ” ขู่ลั่นปิดกั้นทุกทางไม่ให้ย้ายไปออสเตรเลีย เดือด! คุ้ยประวัติ “หมอสามกีบ” ทัวร์ลงยับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ศึกชนช้าง “ปวิน” VS “หมอเหรียญ”
ศึกชนช้าง “ปวิน” ดวล “หมอเหรียญ” ขู่ลั่นปิดกั้นทุกทางไม่ให้ย้ายไป “ออสเตรเลีย” ยก วีรกรรม ทั้งกับตนและคนอื่น “บูลลี่” ผู้ต้องหา 112 “เลขาฯ ศชอ.” คุ้ยประวัติ “หมอสามกีบ” ป่วยมะเร็ง หมิ่นเบื้องสูง 3 เวลา “ทัวร์ลง” ยับ


น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (12 พ.ย. 65) เพจเฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้ต้องหาคดี 112 ลี้ภัยอยู่ญี่ปุ่น โพสต์ข้อความกรณี พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ออกมาประกาศเตรียมย้ายประเทศไปใช้ชีวิตหลังเกษียณ ที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย โดยระบุว่า

“เรื่องของเหรียญทองไม่จบแค่นี้ ที่ผ่านมา วีรกรรมของไอ้สัสนรกตัวนี้มีมาก นี่ดิชั้นเพิ่งเขียนใบรับรองให้น้องคนหนึ่งที่โดนคดี 112 ที่ต้องหนีมาแคนาดา น้องไปเขียนคอมเมนต์ในเพจหนึ่ง และอีเหรียญทองทำการล่าแม่มด ตั้งแต่ไปบีบบังคับให้บริษัทน้องไล่น้องออก (น้องทำงานหลายบริษัท ถูกไล่ออกหมดเลย) และยังส่งให้คนมาฟ้อง 112 จนต้องหนีมาแคนาดา ทำให้ชีวิตคนๆ หนึ่งต้องพัง แต่อย่างที่บอก นี่คือตัวอย่างเดียวเท่านั้น...

ดิชั้นอยากเจอหน้ามันที่ออสเตรเลียต่ะ ปกติดิชั้นไปออสเตรเลียทุกปี และดิชั้นก็ไปเพิร์ธบ่อย อยากรู้ว่า เมื่อเราต่างอยู่ในประเทศที่ไม่มีกฎหมายเหี้ยๆ มึงจะทำอะไรกูได้ บนผืนแผ่นดินออสเตรเลีย มึงกับกูเท่ากัน มึงไม่มีอภิสิทธิ์หรือใบเบิกทางที่มึงได้เหมือนที่มึงอยู่ที่เมืองไทย ที่มึงได้มาโดยการโหนสถาบันกษัตริย์ในการทำร้ายผู้อื่น...เอาละค่ะ ยกแรกกำลังเริ่ม

ดิชั้นจะใช้พลังที่มีทุกอย่างในการทำให้กระบวนการย้ายไปออสเตรเลียของมึงต้องประสบกับอุปสรรคนานัปการค่ะ เรามาลองสู้กันสักตั้งค่ะ”

นอกจากนั้น นายปวิน ยังแชร์ข่าว กรณี นพ.เหรียญทอง โพสต์ขอบคุณคณะบุคคลเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่ได้ไปยื่นหนังสือสถานทูตญี่ปุ่น จัดการนายปวิน พร้อมกับโพสต์ข้อความระบุว่า “ถึงตอนดิชั้นยื่นหนังสือสถานทูตออสเตรเลียจัดการมึงบ้างนะคะ อย่าเพิ่งรีบตาย กูเพิ่งเริ่ม.....”

นายนพดล พรหมภาสิต (แฟ้มภาพ)
อีกด้าหนนึ่ง นายนพดล พรหมภาสิต เลขาธิการศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) ระบุว่า เช็กประวัติหมอหนุ่มที่เป็นมะเร็งแล้ว ด่าเจ้าเช้ากลางวันเย็น

หลังจากนั้น เฟซบุ๊กกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวงของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ได้ระบุว่า รถบัสตลาดหลวงพร้อม โดยชี้เป้าลงไปที่เฟซบุ๊ก Nopadol Prompasit ของนายนพดล พรหมภาสิต

ด้าน ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อาจารย์หมอหนุ่มๆ ที่เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เป็นคนโพสต์แซะด่าสถาบันเป็นนิจศีล คนแบบนี้กรรมตามทันไวแฮะ

ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ เจน ญาณปรีดส์ เครือข่ายปกป้องสถาบัน โพสต์ข้อความว่า สูดเอาความเกลียดชัง จาบจ้วงเจ้า เข้าปอด แบบเต็มคาราเบ้ว เช้า กลางวัน เย็น ไม่แปลกใจแล้ว ว่าทำไมเป็นมะเร็งปอด #อโหสิกรรม

ไม่สงสาร ไม่เห็นใจ แต่อโหสิกรรมให้นะคะ คุณได้รับกรรมติดจรวดไปแล้ว #ขอให้สำนึกได้ก่อนลาจากโลกใบนี้ไปนะ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 65 หลังเกิดกระแสโด่งดังในโซเชียล สำหรับ นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล อาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อายุ 28 ปี เปิดเผยว่า เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “สู้ดิวะ” เพื่อเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเอง จนมีการแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก

ล่าสุด นพ.กฤตไท ได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกครั้งว่า สวัสดีครับ ผมขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ และขอบคุณคนที่ได้พลังไปจากโพสต์ของผมครับ

จากใจเลยคือผมตกใจมากๆ กับกระแสที่เกิดขึ้น ผมตั้งใจทำเพจนี้ขึ้นมาเพื่อจะรวบรวมความคิด มุมมอง และสิ่งที่ผมตกตะกอน เอาจริงๆ คือ เพื่อจะเอาไปเขียนเป็นหนังสือรวมเล่มสักเล่มนึง แค่นั้นเลยครับ

ความตั้งใจของผม มีแค่การเขียนเล่าเรื่องราวและส่งต่อพลังให้กับคนอื่นเท่านั้นครับ

แต่ผมจำเป็นต้องบอกตามตรงว่า “ขณะนี้ผมเองอยู่ในกระบวนการรักษา” ยังต้องรับยาเคมีบำบัด ณ วันที่พิมพ์อยู่นี้ ผมก็ยังคงปวดหัว อ่อนเพลีย ผมร่วง และภูมิคุ้มกันต่ำ

เหนือสิ่งอื่นใด ถึงผมจะดูจิตใจเข้มแข็งแค่ไหน แต่เรื่องทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นได้หนึ่งเดือนครับ ผมและครอบครัว รวมถึงเพื่อนสนิทเอง ก็ยังไม่ได้อยู่ใน “สภาพที่พร้อมพอ” ที่จะให้ทุกคนมาเยี่ยม ที่จะไปเจอทุกคนได้ครับ หวังว่าทุกคนจะเข้าใจครับ

รวมถึงสื่อต่างๆ ที่ให้ความสนใจ อยากจะสัมภาษณ์ผม โทร.ไปหาเพื่อน โทร.ไปหาครอบครัวผม และกำลังพยายามจะโทร.หาผม ผมเข้าใจในมุมสื่อนะครับ ผมต้องขอโทษจากใจจริงๆ ที่คงไม่สะดวกไปสัมภาษณ์กับสื่อสำนักไหนครับ

ผมดีใจมากๆ ครับ ที่เรื่องราวของผมสร้างแรงบันดาลใจและบางมุมก็ทำให้หลายคนอยากส่งกำลังใจกลับมาให้ผม อยากช่วยเหลือผม บางคนจะโอนเงินให้บ้าง จะบินมาหาบ้าง

ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับ แต่ในมุมคนรับอย่างผม ผมอยากบอกว่าชีวิตปกติของผม มันโอเคมากๆ แล้วครับ ผมมีความสุขดีมากๆ

ดังนั้น ผมอยากจะแค่ขอพื้นที่ส่วนตัว ให้ผมได้ใช้เวลาชีวิตของผมแบบสุขสงบต่อไป เพื่อที่ผมจะได้มีพลัง มาบอกเล่าเรื่องราวดีๆ ต่อไปครับ ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจและพยายามจะเข้าใจครับ (จากไทยโพสต์)

แน่นอน, นับวันความแตกแยกร้าวลึกที่ว่ากันว่า เป็นแค่ “ความเห็นต่าง” ดูเหมือนจะไม่ใช่เสียแล้ว

เพราะทั้งสองโพสต์ดังกล่าว เห็นได้ชัดว่า มีการเป็น “ปฏิปักษ์” ต่อกันอย่างชัดเจน แถมยังมีลักษณะของการต่อต้าน ต่อสู้กันอยู่ด้วย แม้ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นใช้อาวุธฆ่าฟัน แต่การใช้สื่อเป็นอาวุธ ก็ถือว่า รุนแรงไม่แพ้กัน ทั้งยังไม่มีทีท่าว่า จะลดลง มีแต่จะขยายวงอย่างไม่สิ้นสุด

อย่างนี้ส่อว่า สถานการณ์กำลังเข้าขั้น “อันตราย” เพียงแค่มีจุดยืนอยู่คนละฝ่าย ก็เหมือนจะอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?


กำลังโหลดความคิดเห็น