เมืองไทย 360 องศา
ยิ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายใกล้นับถอยหลังสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทำให้สนามการเมืองเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองที่ต้องชิงเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบกันตลอดเวลา เพราะนาทีนี้นอกจากต้องเอาชนะพรรคคู่แข่งแล้ว ยังต้องมองไกลไปถึงโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาล หรือร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้งอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ในท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองที่คาดว่าต้องดุเดือด เนื่องจากแต่ละฝ่ายย่อมมีเดิมพันสูงไม่อยากเป็นฝ่ายแพ้ นั่นคือ ไม่ต้องการเป็นฝ่ายค้านอย่างแน่นอน ดังนั้นก็ต้องการหาตัวช่วยเพื่อสร้างหลักประกันหรือ “แต้มต่อ” บนทางลัดเอาไว้ก่อน โดยสิ่งแรกที่ต้องการพึ่งพาก็คือพวกนักการเมืองที่ “เก๋าเกม” ที่เจนจัดในสนามการเมือง รวมไปถึงสิ่งที่เรียกว่า “บ้านใหญ่” ในแต่ละจังหวัด หรือกลุ่มจังหวัดที่พวกเขาแผ่อิทธิพลครอบงำมานาน กลุ่มการเมืองพวกนี้มักผูกขาดการเป็น ส.ส.มีการสืบทอดกันทางเครือญาติ และคนใกล้ชิดมาอย่างต่อเนื่อง
หากพูดกันถึง “บ้านใหญ่” ตามคำนิยามดังกล่าว แม้ว่าในพื้นที่อาจมีหลายจังหวัดทั่วประเทศ แต่หากให้โฟกัสที่พอติดตาคุ้นหูคุ้นตาก็มีไม่กี่จังหวัด เช่น กลุ่ม “คุณปลื้ม” ในจังหวัดชลบุรี และภาคตะวันออกบางจังหวัด กลุ่ม “ปากน้ำ” หรือ “กลุ่มอัศวเหม” จังหวัดสมุทรปราการ กลุ่ม “บ้านริมน้ำ” ที่นำโดย นายสุชาติ ตันเจริญ จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่ม “สะสมทรัพย์” ในจังหวัดนครปฐม เป็นต้น
นอกเหนือจากนี้ ยังมีอีกกลุ่มที่พัฒนาเลื่อนชั้นพ้นไปจาก “บ้านใหญ่” ขึ้นมาเป็นกลุ่ม “ขั้วการเมือง” ไปอีกระดับ เช่น กลุ่ม “บุรีรัมย์” ของครอบครัว “ชิดชอบ” ภายใต้การนำของ นายเนวิน ชิดชอบ กลุ่มครอบครัว “ศิลปอาชา” ที่สุพรรณบุรี รวมไปถึงมีกลุ่มการเมืองที่เกิดใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นมาอย่างน่าจับตามอง ก็เริ่มมีให้เห็นแบบซ้อนกันขึ้นมา เช่น กลุ่มของ นายสุชาติ ชมกลิ่น ในจังหวัดชลบุรี และภาคกลาง หรือแม้แต่กลุ่มครอบครัว “แซ่จริง” และ ไตรสรณกุล ที่จังหวัดศรีสะเกษ เป็นต้น และอีกหลายจังหวัด ที่บางทีอาจไม่ค่อยคุ้นในระดับชาติ แต่สำหรับในพื้นที่พวกเขาถือว่า โดดเด่นมั่นคง
ขณะเดียวกัน สำหรับการเมืองในยุค “แบ่งขั้ว” ชัดเจน และมีเดิมพันอำนาจสูงลิ่วแบบนี้ มันก็ยิ่งกลายเป็น “ยุคทองของบ้านใหญ่” กันเลยทีเดียว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ต้องการดึงตัวไปอยู่ด้วย หรือไม่ก็ต้องการ “ตรึง” เอาไว้อยู่กับพรรคเดิม เพื่อเพิ่มความชัวร์ในจำนวนที่นั่ง ส.ส.ของแต่ละพรรค แน่นอนว่าเมื่อ กลุ่มบ้านใหญ่ เนื้อหอม มีแต่คนแย่งตัว มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องมีข่าวในเรื่องการ “ซื้อตัว” รวมไปถึงบวก “ออปชันรัฐมนตรี” หากยกเข้ามาได้ทั้งจังหวัด
หากไล่เรียงไปทีละพรรคที่น่าจับตาเวลานี้ เริ่มจากพรรคพลังประชารัฐที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าจะไปทางไหน เพราะเป็นพรรคที่มีกลุ่มก๊วนการเมืองมาร่วมหลายกลุ่ม ทำให้มีการคาดเดากันว่ามีกลุ่มไหนที่ยังอยู่ และกลุ่มไหนกำลังจะแยกทางออกไป สำหรับ “กลุ่มคุณปลื้ม” หรือกลุ่มชลบุรี ก็ถูกถามถึงเรื่องนี้
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีกลุ่มบ้านใหญ่จังหวัดชลบุรี ยังอยู่กับพรรค พปชร.หรือไม่ ว่า นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกพรรคร่วมกันจัดงานประชุมเอเปกก่อน ส่วนความคิดเห็นทางการเมืองเป็นเรื่องของแต่ละพรรค ส่วนของตนก็ยังคงยืนยันสถานะเดิม และในกลุ่มบ้านใหญ่ชลบุรียังไม่ได้มีการหารือกันในเรื่องการเมือง และกลุ่มการเมืองในพรรคพปชร.ยังไม่ได้มีการหารือในเชิงทิศทางทางการเมืองเนื่องจากทุกคนมุ่งมั่นทำงานของตัวเอง
เมื่อถามถึงกรณีมีกระแสข่าว นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยาไปอยู่พรรคอื่น นายอิทธิพล กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.ได้บอกแล้วว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคน และส่วนตัวคิดว่าการเมืองในตอนนี้ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไรมากมายในเชิงนัยยะอะไรเป็นพิเศษ ในส่วนของสมาชิกพรรคที่เป็นรัฐมนตรีทุกคนก็มุ่งมั่นในการทำงานโฟกัสหลักในเรื่องเอเปค ซึ่งหลังการประชุมเอเปกทุกอย่างจะชัดเจนมากขึ้น ทั้งในเรื่องกฎหมายลูกที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย รวมถึงเรื่องกระบวนการทำงานต่างๆ
ส่วนหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ย้ายพรรคจะตามไปด้วยหรือไม่ หรือจะอยู่กับ พล.อ.ประวิตร นายอิทธิพล กล่าวว่า ในส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่มีความเคลื่อนไหว เนื่องจากงานที่ได้รับมอบหมายรับผิดชอบกันอย่างเต็มที่และลงตัว ในส่วนการเมืองก็ตามที่นายกฯบอกว่ายังไม่มีความคิดเห็นและความชัดเจนใดๆ ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับในส่วนของรัฐมนตรี ตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลทำงานกันอย่างแข็งแกร่ง ส่วนความเห็นส่วนตัวหรือจะมีเหตุการณ์อะไรนี้ก็ถือเป็นเรื่องในอนาคต ทั้งนี้เวลาที่เหมาะสมก็สุดแล้วแต่นายกฯจะตัดสินใจ และการประชุมครม.ในวันนี้ไม่ได้มีการหารือในเชิงการเมืองใดๆทั้งสิ้น
ขณะที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ปฏิเสธตอบคำถามจะย้ายพรรคตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หรือไม่ ภายหลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไฟเขียวไม่ขัดถ้าจะย้ายพรรค ว่า อย่าพึ่งเลย ตนยังไม่ได้คิดอะไรตอนนี้ เมื่อถามว่า ยังไม่ตัดสินใจรอดูท่าที พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนใช่หรือไม่ นายสุชาติ ไม่ตอบคำถาม ก่อนเดินเข้าร่วมงานลอยกระทง
นั่นเป็นแค่ตัวอย่างของกลุ่มที่เรียกว่า “บ้านใหญ่” ที่คุ้นหน้าคุ้นตาในบางจังหวัด ซึ่งหากพรรคที่เขาสังกัดได้เป็นรัฐบาล พวกเขาก็ย่อมมีตัวแทนการันตีเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนั้นค่อนข้างแน่
ส่วนอีกด้านหนึ่งในมุมของบางพรรค เช่น พรรคเพื่อไทยผ่านทางคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาปูดอ้างว่า มีความพยายามกว้านซื้อ ส.ส.ที่ราคาพุ่งสูงถึงหัว 80 ล้านบาทแล้ว ซึ่งหากมองอีกด้านหนึ่งบางทีก็เหมือนกับการ “ตีปลาหน้าไซ” เป็นการสกัดไม่ให้ไหลออก หรือหากสกัดไม่อยู่ก็เหมือนกับการ “กาหัว” คนที่ย้ายพรรคออกไปว่าถูกซื้อตัวอะไรประมาณนี้หรือเปล่า
“วันนี้พวกธนกิจการเมืองพังแน่ คนมีเงินเยอะเขากว้านซื้อ ส.ส.แล้ว ตอนนี้ราคาพุ่งถึงหัวละ 80 ล้านแล้ว ซึ่งค่าหัว 80 ล้านบาทเนี่ย เหมาะมากสำหรับพวกอยากเกษียณอายุทางการเมือง เพราะอะไร รับเงินมา 80 ล้าน เอาไปใช้ขึ้นป้ายซัก 5 ล้าน อีก 75 ล้านเก็บเข้ากระเป๋ากลับบ้านรอเลี้ยงหลาน นักการเมืองรู้ตัวว่า ตัวเองเหมือนไก่ชน ถ้าตีชนะสอบได้ราคาจะขึ้นตัวละ 3 แสน แต่ถ้าแพ้ก็ขายชิ้นละ 30 บาท” นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวอ้าง
ดังนั้น ไม่ว่าด้วยเหตุผลการย้ายพรรคของกลุ่ม “บ้านใหญ่” ในแต่ละจังหวัดจะเป็นอย่างไร แต่นาทีนี้ย่อมมองได้ว่าเป็น “ยุคทอง” เลยก็ว่าได้ เพราะถูกรุมแย่ง ดึงตัวกันอุตลุด เพราะด้วยศักยภาพส่วนตัวหากมีพวกเขาอยู่ในมือมันก็ย่อมเป็นหลักประกันจำนวน ส.ส.ตุนเอาไว้แล้วระดับหนึ่ง มีผลต่อการชิงอำนาจการเมืองที่แต่ละฝ่ายล้วนมีเดิมพันสูงกันทั้งนั้น !!