รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้การรับรองวัดคาทอลิกตามกฎหมายเพิ่มเติมอีก 34 แห่ง ใน 15 จังหวัด
วันนี้ (8 พ.ย.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณารับรองวัดคาทอลิกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก พ.ศ. 2564 (ระเบียบฯ) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดต่างๆ รวมจำนวน 34 แห่ง ซึ่งเป็นการรับรองเพิ่มเติมจากมติ ครม. เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 65 ที่รับรองไปแล้ว 9 แห่ง
ทั้งนี้ วัดคาทอลิกทั้งหมดที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกลั่นกรองคำขอจัดตั้งวัดคาทอลิก ก่อนเสนอให้ ครม. เห็นชอบครั้งนี้ เป็นวัดที่มีอยู่ก่อนระเบียบฯ จะประกาศบังคับใช้ และปัจจุบันมีวัดที่ยังไม่ได้รับรอง 345 แห่ง ที่ต้องรับรองให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี หลังระเบียบนี้ใช้บังคับ (15 มิ.ย. 64)
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับข้อมูลที่คณะกรรมการ จะใช้ประกอบการพิจารณารับรองวัดคาทอลิกตามกฎหมายมีหลายประการด้วยกัน เช่น มีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เอื้อต่อการประกอบศาสนาพิธีและการพำนัก มีสถานที่ สิ่งปลูกสร้างและอุปกรณ์ที่จำเป็นแก่การประกอบศาสนกิจและการพำนักครบถ้วน วัดมีคุณค่าและประโยชน์ต่อประชาชนและชุมชนในด้านศาสนาและสังคม วัดได้รับการอุปถัมภ์และทำนุบำรุงวัดจากภาคประชาชน รัฐ และเอกชน รวมถึง ได้ดำเนินงานตามภารกิจของมิซซังในด้านต่างๆ
ทั้งนี้ การรับรองวัดคาทอลิกจะเกิดประโยชน์ด้านต่างๆ อาทิ ส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยสำหรับการสนับสนุนหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม เกิดความมั่นคงด้านศาสนจักร เนื่องจากวัดคาทอลิกเป็นองค์ประกอบหลักและเป็นศูนย์รวมการประกอบศาสนกิจและพิธีกรรมของศาสนิกชนในวาระสำคัญต่างๆ ตามศาสนบัญญัติ ดังนั้น การรับรองวัดคาทอลิกจะทำให้วัดสามารถคงอยู่และสร้างความเชื่อมั่นแก่คริสต์ศาสนิกชนได้
วัดจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนสถาน เช่น โครงการเงินอุดหนุนกิจกรรมบูรณะศาสนสถาน รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นไปตามกฎหมายเกี่ยวข้องกำหนดไว้ในลักษณะเดียวกับศาสนาอื่น ซึ่งรวมถึงการได้รับยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและประชาชนได้รับประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีจากเงินที่บริจาคให้แก่วัด
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า วัดคาทอลิกทั้ง 34 แห่งที่ได้รับการรับรองครั้งนี้กระจายอยู่ใน 15 จังหวัด ประกอบด้วย 1) กรุงเทพมหานคร 7 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญยอแซฟ (ตรอกจันทน์) วัดราชินีแห่งสันติสุข (สุขุมวิท 101) วัดเซนต์จอห์น วัดแม่พระฟาติมา (ดินแดง) วัดธรรมาสน์นักบุญเปโตร (บางเชือกหนัง) วัดแม่พระประจักษ์เมืองลูร์ด (บางสะแก) และวัดนักบุญเทเรซา (หนองจอก)
2) จ.นนทบุรี 2 แห่ง ได้แก่ วัดพระแม่มหาการุณย์ (เมืองนนท์) และ วัดพระแม่สกลสงเคราะห์ (บางบัวทอง) 3) จ.ปทุมธานี 1 แห่ง ได้แก่ วัดพระชนนีของพระเป็นเจ้า (รังสิต) 4) จ.สมุทรปราการ 1 แห่ง ได้แก่ วัดพระกุมารเยซู (บางนา กม.8) 5) จ.นครปฐม 3 แห่ง ได้แก่ วัดพระตรีเอกภาพ (หนองหิน) วัดพระคริสตกษัตริย์ (นครปฐม) และ วัดนักบุญอันเดร (บางภาษี) 6) จ.สมุทรสงคราม 2 แห่ง ได้แก่ วัดแม่พระองค์อุปถัมภ์ (วัดใน) และ วัดพระวิสุทธิวงศ์ (แพรกหนามแดง)
7) จ.ฉะเชิงเทรา 1 แห่ง ได้แก่ วัดเซนต์ร็อค (ท่าไข่) 8) จ.พระนครศรีอยุธยา 1 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญยวงบัปติสตา (เจ้าเจ็ด) 9) จ.สุพรรณบุรี 1 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญลูกา (อู่ทอง) 10) จ.ราชบุรี 5 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญยอแซฟ (บ้านโป่ง) วัดนักบุญมาร์การิตา (บางตาล) วัดนักบุญเทเราซาแห่งพระกุมารเยซู (ห้วยกระบอก) และ วัดนักบุญลูกา (หนองนางแพรว)
11) จ.กาญจนบุรี 3 แห่ง ได้แก่ วัดพระแม่ราชินีแห่งสากลโลก (กาญจนบุรี) วัดพระประจักษ์เมืองลูร์ด (ท่าเรือ) และ วัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ (พุถ่อง) 12) จ.สระบุรี 2 แห่ง ได้แก่ วัดพระแม่เมืองลูร์ด (สระบุรี) และ วัดนักบุญยอแซฟกรรมกร (แก่งคอย) 13) จ.นครสวรรค์ 1 แห่ง ได้แก่ วัดอารามคาร์แมล (นครสวรรค์) 14) จ.เพชรบุรี 1 แห่ง ได้แก่ วัดนักบุญเวนันซีโอ (เพชรบุรี) และ 15) จ.เชียงราย 3 แห่ง ได้แก่ อาสนวิหารแม่พระบังเกิด เชียงราย วัดแม่พระองค์อุปถัมภ์ (พาน) และ วัดนักบุญสเตเฟน (แม่จัน)