xs
xsm
sm
md
lg

ไม่มโนแน่นะวิ? ศาสตราจารย์ 3 นิ้ว ผวาเหตุ “เค ร้อยล้าน” ล็อกคอ “ธนาธร” ปูทางรัฐประหาร เชื่อแบบนั้นจริงๆ หรือแค่หาแสง **เพื่อไทย แก้เกม “นายกฯ คนละครึ่ง” บอกพร้อมร่วม พปชร. แต่ไม่เอา “ลุงตู่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**ไม่มโนแน่นะวิ? ศาสตราจารย์ 3 นิ้ว ผวาเหตุ “เค ร้อยล้าน” ล็อกคอ “ธนาธร” ปูทางรัฐประหาร เชื่อแบบนั้นจริงๆ หรือแค่หาแสง


ควันหลง เหตุการณ์ “เค ร้อยล้าน” หรือ นายคเณศพิศณุเทพ จักรภพมหาเดชา นักธุรกิจเชื้อสายอินเดีย บุกเข้าไปล็อกคอ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ขณะแจกลายเซ็นให้แฟนคลับในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ ที่ 23 ต.ค. ยังมีต่อเนื่อง

โดยเมื่อวันก่อน “ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในนาม “คณะราษฎร” และแนวร่วมต่างๆ หรือที่เรียกว่า “ม็อบ 3 นิ้ว” ได้โพสต์ในเฟซบุ๊ก Charnvit Kasetsiri เป็นภาพหน้า 1 หนังสือพิมพ์ที่มีข่าว “เค ร้อยล้าน” ล็อกคอ “ธนาธร” เป็นพาดหัวตัวไม้ พร้อมข้อความเป็นแคปชัน ระบุว่า “Can Thailand escape another coup & another violence แล้วไทยเราจะหนีพ้นรัฐประหารกับการนองเลือด ได้หรือไม่ The answer, my friend, is blowing in …..น่าเชื่อว่า สุดขั้วฝ่ายหนึ่ง กับสุดขั้วอีกฝ่ายหนึ่ง อยากให้ไปถึงตรงนั้น ตรง violence และ coup”

เค ร้อยล้าน
ต่อมา “ดร.ชาญวิทย์” ยังได้โพสต์ข้อความอีกว่า “อยากเห็นความปรองดองในชาติ แต่กลัวจะผิดหวัง เพราะกระแสของ violence แรงนัก เปิดโอกาสให้คนดีๆๆ อ้าง coup เข้ามาอีก ซ้ำซากๆๆ”

อ่านความระหว่างบรรทัด “ดร.ชาญวิทย์” ก็คงต้องการจะสื่อว่า จากเหตุการณ์ “เค ร้อยล้าน” บุกเข้าไปล็อกคอ “ธนาธร” ที่ศูนย์ฯสิริกิติ์ สะท้อนว่าความรุนแรงในสังคมกำลังทวีขึ้นเรื่อยๆ และต่อไปจะมีการเอาไปอ้างเป็นสาเหตุของการก่อรัฐประหาร

แต่เอาเข้าจริง ใครๆ ก็รู้ว่า กรณี “เค ร้อยล้าน” เป็นเรื่องของพฤติกรรมส่วนบุคคล จากอาการป่วยทางจิต และเคยก่อเหตุทำนองนี้มาหลายครั้งหลายครา และฝ่ายที่ “ดร.ชาญวิทย์” เรียกแบบประชดประชันว่า เป็น “คนดี” ก็ไม่มีใครเห็นด้วยกับพฤติกรรมของ “เค ร้อยล้าน” เลยสักคน ที่โยงไปว่าจะนำไปสู่รัฐประหาร น่าจะเป็นการมโนไปไกลเกินจริงหรือเปล่า แต่งานนี้ ถ้าจะมีคนที่ต้องถูกตำหนิ ก็คงเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนั่นแหละ ที่ยังปล่อยให้ออกมาก่อเรื่องก่อราว ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
อีกคนที่หยิบเอาเหตุการณ์ “ล็อกคอกลางงานหนังสือ” มาเล่นใหญ่ไฟกะพริบ ก็คือ “ส.ส.พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์” รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ออกสื่อประณามการกระทำของ “เค ร้อยล้าน” ว่าเป็นพฤติกรรมที่สร้างความตระหนกตกใจให้กับประชาชน ทั้งยังบอกว่า อันตรายยิ่งกว่ากรณี “ลุงศักดิ์ตัวตึง” บุกชก “ศรีสุวรรณ จรรยา” หน้ากองปราบปรามเสียอีก เพราะกรณี “เค ร้อยล้าน” จะทำให้เกิดการเลียนแบบ ไม่ใช่แค่เรื่องการทำร้ายตัวบุคคล แต่เป็นการพยายามที่จะสร้างสถานการณ์ หากประชาชนวิ่งหลบหนีกัน แล้วมีผู้ได้รับบาดเจ็บจะเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น ศูนย์ฯ สิริกิติ์ เป็นสถานที่จัดประชุมเอเปก ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนหน้า ประเด็นนี้คงจะเป็นบทเรียนและกรณีศึกษาให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดการรักษาความปลอดภัยขึ้นไปอีก

ที่ไม่พลาดเลยอีกคน ก็คือ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า ที่ทวีตข้อความตั้งแต่วันเกิดเหตุ ว่า “พฤติกรรมของคนที่ใช้ชื่อ “เค ร้อยล้าน” กระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายครั้งหลายหน ทำร้ายผู้อื่น ชูพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมตะโกนโหวกเหวก ยกย่องเชิดูสถาบันกษัตริย์ พฤติกรรมแบบนี้เป็นคุณต่อสถาบันกษัตริย์ตรงไหนครับ?”

พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์

ปิยบุตร แสงกนกกุล
“ปิยบุตร” ตั้งคำถามแบบนี้ ก็เรียกทัวร์ได้กระหน่ำทีเดียว เพราะคนปกติทั่วไปต่างมองว่า พฤติกรรมของ “เค ร้อยล้าน” นั้น แปลกประหลาด คนที่รักสถาบันฯ จริงๆ ไม่มีใครสนับสนุน แต่ก็เข้าใจได้ว่า “เค ร้อยล้าน” มีอาการป่วยด้วยโรคอารมณ์แปรปรวน พอ “ปิยบุตร” นำไปเหมารวม บิดเบือนด้อยค่าคนรักสถาบันฯ เขาจึงถูกมองว่า ฉวยโอกาสโหน “เค ร้อยล้าน” เพื่อด้อยค่าสถาบันฯ นั่นเอง เรื่องราวก็เป็นฉะนี้



** เพื่อไทย แก้เกม “นายกฯ คนละครึ่ง” บอกพร้อมร่วม พปชร. แต่ไม่เอา “ลุงตู่”

การเมืองช่วงนี้ สองขั้วมีการแก้เกม มองข้ามช็อตไปถึงช่วงหลังเลือกตั้ง ว่าใครจะมีโอกาสได้ครองอำนาจมากที่สุด

สัปดาห์ก่อน “พรรคก้าวไกล” ออกมาแถลงนโยบายที่จะใช้ในการเลือกตั้ง ยืนยันแก้ ม.112 เพื่อปฏิรูปสถาบันฯ หวังตรึงกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ และเครือข่าย “สามมนิ้ว” ให้อยู่เป็นฐานเสียงให้ตัวเอง แต่ก็ถูกขั้วตรงข้ามที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ ออกมาประกาศจุดยืน “ ไม่แก้ 112 และไม่ร่วมสังฆกรรม” กับพรรคก้าวไกล

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว - สุทิน คลังแสง
ขณะเดียวกัน ก็มีคำถามไปถึง “พรรคเพื่อไทย” ที่อ้างตัวเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ว่าจะร่วมกับพรรคที่จะแก้ ม.112 หรือไม่ ตอบมาให้ชัด ... แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ออกมารับลูก บอกว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงจุดนั้น

ต่อมา พรรคพลังประชารัฐ ที่พยายามคาดคั้นจาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า จะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ จะได้มีความชัดเจนว่า “ลุงตู่” กับ “ลุงป้อม” จะกอดคอลงสนามสู้ศึกในการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยรู้ดีว่าถ้าขาดใครคนใดคนหนึ่งไป พรรคพลังประชารัฐก็จะ “เลือดไหล” เหี่ยวแฟบลงทันที

แต่ “ลุงตู่” ก็ยังอุบเงียบ ไม่เผยท่าที ปล่อยให้คาดเดากันไป

ส.ส.พลังประชารัฐ จึงออกมาเสนอสูตร “นายกฯ คนละครึ่ง” หรือ “หมดลุงตู่ สู่ลุงป้อม” คือ “ลุงตู่” อยู่ 2 ปีแรก แล้วให้ ”ลุงป้อม” มารับช่วงต่อ 2 ปีหลัง เพื่อให้เห็นว่าสองลุง ไม่ทิ้งกัน ยังทำงานร่วมกันได้ พรรคพลังประชารัฐยังเป็นปึกแผ่น ...ซึ่งตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญแล้ว “ลุงตู่” มีเวลาเหลือแค่ 2 ปีเท่านั้น สำหรับเก้าอี้นายกฯ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เรื่องนายกฯคนละครึ่ง ในทางทฤษฎีนั้นเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติจะเป็นไปได้หรือไม่ นั่นมันอีกเรื่อง!!

ก็อย่างที่รู้ ที่เห็นกันว่า ระยะหลังมานี้ “ลุงตู่”กับ “ลุงป้อม” ระหองระแหงกันบ่อย คนใกล้ชิดของลุงๆ ก็แบ่งข้าง ตั้งแง่กันอยู่ คอยใส่ไฟ เติมฟืน ชิงเหลี่ยม ชิงบทบาทการนำให้ “ลูกพี่” ของฝ่ายตนเองแบบไม่ยอมกัน

แต่เพื่อไม่ให้เสียการใหญ่ที่รออยู่ จึงต้องหันหน้ามาปรองดองกันชั่วคราว และถ้าลุงๆ หันมากอดคอเฉพาะกิจ ฝ่ายที่ต้องหนักใจก็คือ “พรรคเพื่อไทย” ที่จะต้องเจองานหินทั้งก่อนเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้ง

ดังนั้น “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ “สุทิน คลังแสง” ส.ส.มหาสารคาม ประธานวิปฝ่ายค้าน จึงออกมาแก้เกม โดยประกาศว่าหลังเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจะพยายามจับขั้วกับฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันก่อน แต่ถ้า “จำเป็นจริงๆ” ก็พร้อมจะร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ แต่มีเงื่อนไขว่า “ต้องไม่มีลุงตู่”

เป็นการแก้เกมแบบ “เสี้ยมกลับ” แล้วรอดูปฏิกิริยาจาก ลุงๆ และคนรอบข้างจะเป็นอย่างไร...เพราะก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวซุบซิบมาตลอด เกี่ยวกับ “ดีลลับ” ระหว่าง “ลุงป้อม กับ พี่โทนี่” ที่อยู่ดูไบ วันนี้เลยลองหยิบมาใช้ เผื่อจะได้ประโยชน์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จึงคำถามที่ผู้ติดตามการเมืองต้องการคำตอบจากลุงๆ ว่า สูตรนายกฯคนละครึ่ง จะเป็นไปได้หรือไม่ ...และมีโอกาสที่พลังประชารัฐ จะจับมือเพื่อไทยตั้งรัฐบาล โดยเขี่ย “ลุงตู่” ไปอยู่นอกวง หรือไม่

วันวาน ทั้งก่อนประชุม ครม. และหลังประชุม ครม. นักข่าวพยายามถามเรื่องนี้จาก “ลุงตู่” ก็มีแต่ความเมินเฉย ไม่ได้รับคำตอบใดๆ

เช่นเดียวกับ “ลุงป้อม” ที่ปกติระยะหลังมานี้จะลงมาคุยกับผู้สื่อข่าวก่อนกลับ แต่เมื่อวานนี้หลังประชุม ครม.เสร็จก็ผลุนผลัน รีบขึ้นรถออกไปจากทำเนียบฯ ทันที

ขณะที่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เจออคำถามนี้ ก็รีบโบกไม้ โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวันว่า “การเมืองยังไม่ถึงเวลาหรอก” ...จะเป็นไปได้หรือไม่ “ไม่รู้”

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า สมการการเมืองที่ผูกไว้อย่างนี้ จะแก้กันอย่างไร!!




กำลังโหลดความคิดเห็น