“3 นิ้ว” เฮ! “อดีตรอง ผอ.ข่าวกรอง” แง้ม สมัยหน้า “ลุงตู่” อาจวางมือ ซัด พวก ปชต.เอาแต่ใจ “ธนาธร” ปลุก เปลี่ยนนายกฯใหม่ ไม่พอ ต้องเปลี่ยนประเทศ “หมอวรงค์” ฟาด “ฝ่ายค้าน” ส่งศาล รธน.เอง กลับไม่เคารพคำวินิจฉัย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (1 ต.ค. 65) นายนันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กระบุว่า
“อย่าเอาแต่ใจ
สังคมไทยสมัยนี้อยู่ยาก ศาลตัดสินแล้วไม่ถูกใจ สารพัดเหตุผลถูกอ้างออกมาคัดค้าน
ประชาธิปไตยต้องไม่ใช่เอาแต่ใจตนเอง ชี้หน้าคนอื่นว่าไม่ใช่ ประชาธิปไตยต้องไม่ผูกขาดความถูกต้องไว้ฝ่ายเดียว คนอื่นผิดหมด กูคือความถูกต้อง อย่ามัวแต่สงสัยปรักปรำคนอื่น
คิดอย่างนี้คือเผด็จการ ต้องสะกดกิเลสในใจไว้
เลือกตั้งสมัยหน้า ลุงตู่อาจวางมือทางการเมือง แต่เอาให้ชัวร์. พรรคและนักการเมืองหาเสียง ประกาศเลยว่าไม่เอาลุงตู่. จะไม่ร่วมรัฐบาลกับนายกฯ ชื่อลุงตู่ เอาให้ชัดเจนไปเลย. จะได้รู้กันไปว่า พรรคที่ไม่เอาลุงตู่จะได้เสียงเท่าไร”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โพสต์หัวข้อ [ประเทศไทยไม่ได้ต้องการแค่นายกฯใหม่ แต่ต้องการระบอบการเมืองที่มีอนาคต]
โดยระบุว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ที่ให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งขึ้นสู่อำนาจผ่านการรัฐประหาร สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ต่อไปจนถึงปี 2568 ไม่เพียงสร้างความคับแค้นใจให้กับประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้เท่านั้น แต่มีราคาอันแสนแพงที่สังคมไทยต้องจ่าย จากการที่ พลเอก ประยุทธ์ ได้ไปต่อ
ศาลรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงองค์กรอิสระ และระบบตุลาการ ทั้งองคาพยพ ต้องเผชิญวิกฤตศรัทธาจากประชาชน ถูกมองเป็นเครื่องมือรับใช้ระบอบรัฐประหาร แทนที่จะเป็นสถาบันหลักของชาติ ผดุงหลักนิติรัฐ
อนาคตเศรษฐกิจไทยยังต้องไปต่อแบบไร้ทิศทาง ไร้นวัตกรรม เพราะขาดผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการออกนโยบายที่จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับประเทศ
ความหวังของประชาชนในสังคม ถูกทุบทำลายลงอีกครั้ง เกิดสภาพความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ว่า การเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ความก้าวหน้า จะไม่สามารถเป็นจริงได้ในอนาคตอันใกล้
พลเอก ประยุทธ์ เอง ก็มีราคาที่ต้องจ่าย ผมถือว่า ครั้งนี้ความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ พลเอก ประยุทธ์ ถูกใช้จนหมดหน้าตัก แม้แต่ผู้ที่เคยสนับสนุน พลเอก ประยุทธ์ เองจำนวนไม่น้อย ก็ยังกังขาว่าคำวินิจฉัยครั้งนี้ถูกต้องตามหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ คสช. เขียนขึ้นมาเองหรือไม่
ทั้งหมดนี้ อาจทำให้พี่น้องประชาชนรู้สึกสิ้นหวัง และยิ่งไม่มั่นใจว่า ต่อให้ประเทศมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีรัฐบาลชุดใหม่ การเมืองไทยจะยังตกอยู่ภายใต้วังวนเดิมของระบบการเมืองที่คณะรัฐประหารได้วางกับดักไว้อีกหรือไม่
วันนี้ เราเห็นแล้วว่า เครือข่ายของขุนศึก ชนชั้นนำอนุรักษนิยม และกลุ่มนายทุนผูกขาด สามารถไปได้สุดทาง ทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์และสืบทอดอำนาจพวกพ้องเครือข่ายของตนเอง โดยไม่สนใจว่าจะต้องแลกมาด้วยอนาคต หรือความเจริญก้าวหน้าของประชาชนส่วนใหญ่ ไม่สนใจว่าจะต้องแลกมาด้วยการระบบการเมืองที่ฉ้อฉล ไม่สนใจว่าจะต้องแลกมาด้วยการทำลายสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น วันนี้ประเทศของเราจึงไม่ได้ต้องการแค่ผู้นำคนใหม่หรือรัฐบาลชุดใหม่ ผมขอให้พี่น้องประชาชนคิดไปให้ไกลกว่านั้น ลำพังเพียงการเปลี่ยนผู้นำไม่สามารถทำให้ประเทศรอดพ้นจากระบอบการเมืองที่กัดกินประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศได้
จุดเริ่มต้นคือ การผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างโดยประชาชนให้ได้ เพื่อยุติกลไกสืบทอดอำนาจของระบอบรัฐประหาร และเดินหน้าสถาปนาหลักการประชาชนคือผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ
แต่ที่ไกลกว่านั้น เราต้องการการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน
เราต้องการยกเลิกรัฐราชการรวมศูนย์ ไปสู่ระบบการบริหารประเทศที่ก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ และกระจายอำนาจไปสู่ประชาชนทั้งประเทศ เพื่อปลดปล่อยศักยภาพของประเทศ
เราต้องการระบบรัฐสวัสดิการที่ถ้วนหน้าครบวงจร เพื่อทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคง พร้อมที่จะเผชิญกับโลกยุคใหม่ที่ผันผวน
เราต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพดีอย่างเท่าเทียมกัน ปลดปล่อยศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชน
เราต้องการระบบเศรษฐกิจที่ไม่ได้ผูกขาดอยู่ในมือของกลุ่มทุนใหญ่ แต่สร้างความเติบโตอย่างเป็นธรรม ก้าวหน้าทันโลก
เราต้องการระบบกฎหมายที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน มุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและชีวิตทรัพย์สินของประชาชน
เราต้องการกองทัพที่อยู่ภายใต้พลเรือน ทันยุคทันสมัย
ทั้งหมดนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากเราไม่มีระบบการเมืองที่เป็นตัวแทนรับใช้ประชาชน 99% ไม่ใช่แค่คน 1% ที่อยู่บนยอดพีระมิด
ระบบการเมืองที่รับใช้คน 99% คือ เป้าหมายสูงสุดของผมตั้งแต่เริ่มต้นทำงานการเมืองในนามพรรคอนาคตใหม่ และยังเป็นเป้าหมายของพวกเรามาจนถึงปัจจุบัน
จะสร้างประเทศไทยที่ก้าวหน้าได้ ประชาชนทุกคนต้องร่วมกัน ไม่ใช่แค่เลือกผู้นำคนใหม่ แต่เดินหน้าเพิ่มความเปลี่ยนแปลงให้สังคมในทุกๆ วัน เพื่อสร้างระบบการเมืองแบบใหม่ที่จะทำให้ประชาชนคือผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศอย่างแท้จริง
#นายก8ปี”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“#ฝ่ายค้านต้องเคารพคำตัดสินของศาล หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยชัดเจนว่า พลเอก ประยุทธ์ สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อได้ โดยให้นับวาระ 8 ปี ตั้งแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ คือวันที่ 6 เมษายน 2560
ไม่เกินความคาดหมายที่ฝ่ายค้าน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วย กับผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถึงขั้นประกาศจะปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ วิจารณ์ว่าศาลรัฐธรรมนูญ ตีความที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญตามที่ประชาชนเข้าใจ
ทั้งๆ ที่ การดำรงตำแหน่ง 8 ปีของ พลเอก ประยุทธ์ ฝ่ายค้านเองไม่ใช่หรือ ที่เป็นผู้รวบรวมเสียง เพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ การที่พวกท่าน ยื่นศาลตีความ ท่านต้องเคารพคำตัดสิน ถ้าไม่เคารพคำตัดสินท่านยื่นทำไม
ผมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตย ของประเทศเดินหน้าต่อได้ เรียกร้องให้ฝ่ายค้าน เอาเวลามาตรวจสอบ ความมูมมามในกระทรวงพลังงาน ที่อุ้มแต่นายทุน จะดีกว่าเอาเวลามาสร้างความวุ่นวาย”
แน่นอน, เป็นไปตามความคาดหมายก่อนหน้านี้อยู่แล้วว่า ไม่ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร เป็นคุณหรือโทษกับพล.อ.ประยุทธ์ ก็จะต้องมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย และไม่พอใจกับคำวินิจฉัย แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ยิ่งผลของคำวินิจฉัย ช่วยให้ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ ซึ่งสวนทางกับความต้องการขับไล่ออกจากตำแหน่ง ยิ่งฟาดงวงฟาดงา กล่าวหาสารพัด ว่าศาลฯ เอียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่ว่าตามจริง ศาลฯก็วินิจฉัยตามข้อกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา นักกฎหมายหลายคนก็ยอมรับได้
เอาเข้าไป การเมืองไทยเมื่อไหร่จะโต?
ประเด็นอยู่ที่ว่า ถ้าเราต้องการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เรื่องพื้นฐาน “ประชาธิปไตย” อย่างง่าย ที่ต้องทำให้ได้เสียก่อน ก็คือ เคารพกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และศาล ไม่เช่นนั้น ไม่มีทางพัฒนาประชาธิปไตยได้
ไม่ใช่อ้างศาลไม่ยุติธรรม แล้วก็ยึดเป็นความถูกต้องของฝ่ายตัวเอง ไม่ยอมรับความคิดเห็นคนอื่น ไม่ยอมรับ “คำวินิจฉัยศาล” โจมตีกระบวนการยุติธรรม ได้หน้าตาเฉย แล้วบอกว่า นี่คือ ประชาธิปไตย อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ใครเชื่อก็บ้าแล้ว!