“อภิสิทธิ์” เปิดใจไม่ได้วางอนาคตการเมือง หากสามารถทำประโยชน์ได้ก็จะกลับไป ย้ำจุดยืนต้องการเห็นพรรคอยู่ในแนวทางของ “เสรีประชาธิปไตย” พร้อมแยกทางประชาธิปัตย์หากคิดไม่ตรงกัน
วันที่ 21 ก.ย. 2565 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง “นิวส์วัน”
โดย นายอภิสิทธิ์ กล่าวในช่วงนึงว่า วันที่ 30 ก.ย. นี้ สมมติ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อได้ตามคำวินิจฉัยศาล สภาพการเมืองจะยิ่งเพิ่มความขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องยอมรับว่ากระแสสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ลดลงเยอะ คนที่มีความขุ่นข้องหมองใจก็จะยิ่งเพิ่มแรงต่อต้าน แต่ในมุมฝ่ายค้านคงไม่ได้เดือดร้อนเท่าไหร่ เพราะยังไงก็เลือกตั้งกลางปีหน้า ยิ่งเป็นอีกเงื่อนไขเพิ่มแรงต่อต้าน พอเลือกตั้งก็ใช้สิ่งเหล่านี้หาเสียง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เสียดายโอกาสสภาในการแก้มาตรา 272 ตนมองว่า การมีมาตรานี้อยู่ อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเกิดปัญหาขึ้นได้ในเชิงความขัดแย้งระหว่างเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง กับวุฒิสมาชิก 250 คน
ถ้าสมมมติเกิดความรู้สึกว่า รัฐบาลที่ตั้งขึ้นได้เพราะมี 250 เสียงนี้ ก็จะยิ่งทำให้บรรยากาศของความขัดแย้งแบ่งขั้ว และความไม่ค่อยมีเสถียรภาพทางการเมืองของไทยก็ดำรงต่อไปอีก ยังไม่นับว่าหนึ่งปีหลังจากนั้นวุฒิสมาชิกก็จะหมดอำนาจนี้ อะไรจะเกิดขึ้น น่าเป็นห่วง
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า สมมติ พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อไม่ได้ตามคำวินิจฉัยศาล ขบวนการต้องกลับไปที่สภา พล.อ.ประวิตร ไม่ได้อยู่ในบัญชี ก็ต้องมีขั้นตอนที่เพิ่มขึ้น ต้องไปพึ่งกลไกของรัฐสภาให้มีมติยกเว้นไม่เอาชื่อคนจากบัญชี แล้วถึงจะเลือก พล.อ.ประวิตร ถ้าตกลงกันได้มันก็ไม่ยาก
ส่วนตนมีชื่อในบัญชี แต่ไม่ได้อยู่ในรัฐบาล ดูตามธรรมชาติการเมือง ไม่เห็นคนที่ร่วมรัฐบาลต้องการเปลี่ยนแปลง พรรคร่วมคงต้องคุยกัน ถ้าทำงานด้วยกันต่อคงตกลงกันเอาใครมาเป็นนายกฯ ง่ายสุดคือ นายอนุทิน เพราะมีชื่ออยู่ในบัญชีอยู่แล้ว และปัจจุบันก็เป็นรองนายกฯ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไป ตนยังมองการเมืองแบ่งขั้วค่อนข้างแรง พรรคเกิดใหม่ทั้งหลาย ยังไม่แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จในการที่บอกว่านี่คือพื้นที่ใหม่ทางการเมืองหรือเปล่า ยังถูกมองว่าอยู่ขั้วไหนไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่
การบ้านของ พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ ที่สำคัญกว่า 30 ก.ย.นี้อีก คือ การเลือกตั้งใหญ่ เห็นได้ชัดซีกฝ่ายค้านได้ความนิยมสูงกว่ามาก ตีเป็นตัวเลข 60-40 ฉะนั้น โอกาสกลับมาไม่ง่าย แล้วซีกรัฐบาลแย่งเสียงกันเองอีก ความได้เปรียบจึงตกไปอยู่ฝ่ายค้าน ยิ่งใช้สูตรหาร 100 เพื่อไทยได้เปรียบที่สุด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า บทเรียนเลือกตั้งปี 62 เสียไปหลายพื้นที่ ตนทราบดี เพราะตนแสดงจุดยืนไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ย่อมกระเทือนฐานเสียงส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังยืนยันในความเห็นของตน พรรคประชาธิปัตย์จะต้องหวนกลับไปดูอุดมการณ์และยืนยันในการเป็นพรรคที่อยู่ในแนวทางของเสรีประชาธิปไตย ดังนั้น ก็ต้องยอมรับว่า ถึงจุดหนึ่งอาจต้องแยกทางกับ 3 ป. หรือกับคนที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมมาก
เมื่อถามว่า วางอนาคตการเมืองไว้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ได้วางอะไรทั้งนั้น ไม่ได้กำหนดว่าต้องไปอยู่ตรงไหน คิดว่าทำประโยชน์ในการเข้าไปเป็นนักการเมืองได้หรือไม่ ตนมีอะไรที่อยากทำอีกเยอะ แต่ต้องอยู่ในสภาพความเป็นจริง ถ้ากระโดดเข้าไปแต่ไม่ได้สามารถทำประโยชน์ได้เลย ก็ไม่เห็นเหตุผลในการจะเข้าไป
เลือกตั้งครั้งหน้าก็คงเป็นไปตามระบบ อยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรค แต่ตนจะสมัครหรือไม่ต้องดูทิศทางก่อน พรรคมีจุดยืน แนวทางการเมืองอย่างไร ถ้าตรงกันก็อาจเป็นไปได้ ถ้าไม่ตรงกันก็ไม่ค่อยอยากลงสมัคร เพราะถ้าลงสมัครแล้ว ไปหาเสียงจะพูดกับประชาชนอย่างไร และไม่เป็นประโยชน์กับใคร
ตนอยากเห็นระบบการเมืองไทย พรรคการเมืองไทย เติบโตแบบสากล ที่ต่างประเทศ นักการเมืองสังกัดพรรค แนวคิดไม่ตรงกันก็ลดบทบาทตัวเอง เว้นวรรค ไม่ต้องไปรีบตั้งพรรค จนกระทั่งพรรคการเมืองมันไม่เป็นสถาบัน
ยืนยันว่า พรรคเป็นสถาบันใหญ่กรรมการบริหารทุกยุค สมมติกรรมการบริหารชุดนี้แนวทางเปลี่ยนไปจากแนวทางที่ตนเชื่อ จุดนึงก็ต้องถอนออกจากพรรค แต่วันข้างหน้าหากพรรคกลับมาเป็นแนวทางตรงกับตน ก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้น
ส่วนข่าวลือจะกลับมาเป็นนายกฯ ตนมองไม่ออกจะเป็นไปได้ ดูฝ่ายที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังมั่นใจว่าไปต่อได้ แม้ไปต่อไม่ได้ คนเป็นรัฐบาลอยู่น่าจะหาอะไรต่อเนื่องมากที่สุด มองไม่เห็นว่าทำไมต้องเป็นตน