xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปัตย์พล่าน เสียที่มั่นสุดท้ายภาคใต้ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ - สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ - อนุทิน ชาญวีรกูล
เมืองไทย 360 องศา


เมื่อปี่กลองการเมืองกำลังใกล้จะเริ่มนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ ก็ได้เห็นความเคลื่อนไหวของบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ต่างเร่งหาเสียงกันอย่างคึกคัก มีการเปิดตัวผู้สมัคร มีการย้ายเข้าย้ายออกของพวกอดีต ส.ส. ขณะที่คนที่ยังเป็นส.ส.อยู่ในปัจจุบันต่างก็รอจังหวะเปิดไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคใหม่ถือว่าครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ดี นาทีนี้อยากโฟกัสไปที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะในสนามภาคใต้ที่การเลือกตั้งคราวหน้าจะต้องมีความเข้มข้นดุเดือดเลือดพล่านแน่นอน เพราะรู้กันดีว่าภาคใต้เรียกได้ว่าเป็น “เมืองหลวงทางการเมือง” ของพวกเขา และยึดเป็นฐานหลักทางการเมืองเอาไว้ได้อย่างมั่นคงมานานหลายสิบปีแล้ว เพราะแม้ว่าในอดีตจะมียุคว่ากันว่าเป็นยุคตกต่ำ เกิดความแตกแยกเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังรักษาฐานที่มั่นที่นี่เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

แต่สัญญาณ “ขาลง” ก็เริ่มปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนจากการเลือกตั้งคราวที่แล้ว เมื่อเดือนมีนาคม2562 ที่ผ่านมา ที่เป็นครั้งแรกที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องสูญเสียงที่นั่ง ส.ส.ในภาคใต้ให้กับพรรคการเมืองอื่น ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งว่ากันเฉพาะในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่สงขลาขึ้นมา ขณะที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะสูญเสียที่นั่ง แต่นั่นก็อาจพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงกันไปมาอยู่แล้ว เนื่องจากมีปัจจัยทางพื้นที่แบบเฉพาะเป็นตัวแปร

การเลือกตั้งคราวที่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ต้องสูญเสียที่นั่ง ส.ส.เกินครึ่ง ได้ส.ส.เข้ามาเพียง 22 คน จากจำนวน ส.ส.ภาคใต้ 50 คน โดยพรรคพลังประชารัฐซึ่งในตอนนั้นเป็นพรรคเกิดใหม่เข้ามาแบ่งที่นั่ง ส.ส.ได้ถึง 13 ที่นั่ง และเพิ่มอีก 1 ที่นั่งจากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคภูมิใจไทยอีก 8 ที่นั่ง โดยหากรวมเอาจังหวัดชายแดนใต้ที่พรรคประชาชาติได้ไป 6 ที่นั่ง และพรรครวมพลัง(ประชาชาติไทย) อีก 1 ที่นั่ง

จะเห็นว่า ตั้งแต่การเลือกตั้งคราวที่แล้ว ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียศูนย์มาตั้งแต่นั้น และจนถึงวันนี้สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น ปัญหาความขัดแย้งภายในก็ยังไม่ได้ลดลงเลย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารพรรคชุดใหม่ที่นำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ก็ยังเกิดสภาพที่เรียกว่า “เลือดไหลออก” อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีทั้ง ส.ส. อดีตส.ส. รวมไปถึงระดับ “บิ๊กเนม” ที่เคยเป็นสมาชิกพรรคเก่าแก่ดั้งเดิมต่างแยกย้ายออกไปสังกัดพรรคอื่นจำนวนมาก และเชื่อว่าเมื่อจังหวะเหมาะสมในเงื่อนเวลาที่เปิดทางให้ ส.ส.ได้ย้ายพรรคก็จะ “ไหลออก” อีกหลายคน

ขณะที่ ส.ส.บางคนแม้จะยังอาศัยชื่อพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีความเคลื่อนไหว และความเห็นสวนทางขัดแย้งกับมติพรรคก็มีอย่างเปิดเผยหลายคน โดยเฉพาะหากพิจารณาจากการโหวต “สวนมติพรรค” ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ในระหว่างการลงมติในญัตติสำคัญ

ย้อนกลับมาที่สนามภาคใต้ที่เวลานี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังถูกรุกหนักเข้ามาแบบทุกทิศทาง จากหลายพรรคการเมือง ที่เห็นได้ชัดก็คือ พรรคภูมิใจไทย ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่มีขุนพลภาคใต้อย่าง นางนาที รัชกิจประการ และนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ที่เพิ่งประกาศด้วยความมั่นใจว่า คราวหน้าพรรคภูมิใจไทยจะกวาด ส.ส.ภาคใต้เพิ่มเป็น 20 ที่นั่ง หลังจากก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ได้นำทีมลงไปเปิดตัวผู้สมัครของพรรคในพื้นที่กันอย่างคึกคักมาแล้ว

หรือหลังจากนั้นก็ยังมีการเคลื่อนไหวที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อยนั่นคือ การลงไปภาคใต้ของพรรค “สร้างอนาคตไทย” ที่นำทีมโดย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ที่ไปเปิดวิสัยทัศน์ “พลิกอันดามันรอด สร้างอนาคตไทยรุ่ง” ที่จังหวัดภูเก็ต และพังงา ถิ่นของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ โดยตรง

โดย นายสมคิด ได้ชู สามเสาหลักพลิกโฉมภาคใต้และอันดามัน คือ “เกษตรสมัยใหม่ ท่องเที่ยวสุขภาพ และดิจิทัลฮับ” ที่เป็นการพัฒนาแบบเชื่อมโยงเป็นแพกเกจ รวมทั้งการปราศรัยที่เสียดแทงหัวใจ กระแทกไปที่นโยบายประกันราคา ที่แม้จะดีแต่ไม่ยั่งยืน รวมไปถึงระบุว่าหมดยุค การส่ง“เสาไฟฟ้า” ลงเลือกตั้งกันแล้ว

โดยพรรคสร้างอนาคตไทย ประกาศปักธง ส.ส.ในจังหวัดสำคัญ สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และชุมพร เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่า นี่คือพื้นที่หลักของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น และก็ได้ผลคำประกาศวิสัยทัศน์ดังกล่าวของแกนนำพรรคสร้างอนาคตไทย ทำให้บรรดาแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ นายจุรินทร์ ลงมา ต่างออกตอบโต้ โจมตี โดยพุ่งเป้ามาที่นายสมคิด กันเป็นจุดเดียว ซึ่งอาการแบบนี้มันย่อมมองออกว่า “นั่งไม่ติด” เพราะการถูกจี้ไปถึงเรื่อง “เสาไฟฟ้า” และการพัฒนาภาคใต้ที่ถูกละเลยมานาน เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ย่อมกระแทกไปถึงพรรคประชาธิปัตย์โดยตรงในฐานะเป็นผู้ผูกขาด ส.ส.มาช้านาน

ล่าสุด นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ยังออกมาตอบโต้ และยังเน้นย้ำในเรื่องการเมืองที่ไม่ซื้อเสียง

“เห็นทุกพรรคบอกจะแลนด์สไลด์หมด แต่จะแลนด์สไลด์หรือไม่ ต้องเอาไว้ดูตอนนั้น แต่สิ่งที่พวกผมยังทำอยู่คือการรณรงค์กับพี่น้องประชาชนว่าขอให้รักษาอุดมการณ์เดิม อย่ายอมให้ใครมาซื้อ ต้องทำให้นักการเมืองไม่โกง ถ้าคนลงทุนแล้วไม่เอาคืนมันยาก หรือถ้านักการเมืองไม่โกง พรรคการเมืองก็ต้องโกง เพราะต้องเอาเงินมาเป็นทุน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เราเห็นอยู่ ไม่มีคนที่ไปซื้อตำแหน่งเข้ามาแล้วไม่หาผลประโยชน์ หายาก ฉะนั้นประชาชนต้องตระหนักเรื่องนี้ว่าถ้าเรายอมรับเงื่อนไขที่เขาให้เงินแล้วไปลงคะแนน ผลที่ตามมาก็คือ ประชาชนขาดทุน เพราะคนเหล่านั้นเข้ามาหาผลประโยชน์”

เมื่อถามว่า ได้ให้แนวทางกับกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์บ้างหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า กรรมการบริหารพรรคก็บริหารไปตามแนวนโยบายของเขา ความเห็นแต่ละคนก็แตกต่างกันไป แต่ในส่วนของคนที่อยู่กับพรรค คนที่มั่นคง ตนก็พยายามบอกเขาว่าถ้าเป็นไปได้ อย่าไปเปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ เพราะหลายพรรคก็เป็นพรรคเฉพาะกิจชั่วคราวเท่านั้น แต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่แม้จะได้ ส.ส.กี่คน ก็เป็นพรรคการเมืองที่มั่นคงตลอด ไม่เปลี่ยนแปลง ตนก็พยายามบอกเพื่อนๆ ที่มีพรรคการเมืองอื่นมาเกลี้ยกล่อม และมีแนวโน้มว่าจะไปว่าให้คิดดีๆ ไปอยู่พรรคการเมืองที่เป็นพรรคเฉพาะกิจมันก็ชั่วคราว เมื่อเสร็จภารกิจพรรคนั้นก็ล้มไป ซึ่งก็เป็นแค่การให้แนวความคิดเขาไปเท่านั้น แต่จะไปห้ามเขาไม่ได้

นั่นคือ ปฏิกิริยาโต้ตอบมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่แน่นอนว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าพวกเขาต้องเจอศึกหนักแน่ และมีแนวโน้มว่าจะต้องสูญเสียที่นั่งเพิ่มเติมให้พรรคการเมืองคู่แข่งที่รุกคืบเข้ามาหลายพรรค นอกเหนือจากพรรคภูมิใจไทย สร้างอนาคตไทยที่ประกาศปักธงในจังหวัดหลักๆในภาคใต้ให้ได้แล้ว ยังมีพรรคพลังประชารัฐที่กลับมาเคลื่อนไหวรักษาพื้นที่ ยังไม่นับพรรคใหม่อีกพรรคอย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่มีฐานเสียงในกลุ่มเดียวกันมาขอแชร์เก้าอี้อีกด้วย

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากปัญหาภายใน ตามรูปการณ์และแนวโน้มแล้ว สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าหนักหนาสาหัสในสนามภาคใต้ เพราะจะว่าไปแล้วนาทีนี้ยังมองไม่เห็นจุดขายใหม่ แม้ว่าจะชูเรื่อง “ประกันราคา” แต่มันก็ยังไม่เป็นที่จดจำมากพอ และสร้างแรงกระตุ้นในวงกว้าง และภายใต้การแข่งขันที่หลายพรรครุกคืบเข้ามาอย่างคักคัก มันก็ยิ่งทำให้พรรคเก่าแก่พรรคนี้เสี่ยงที่จะสูญเสียที่มั่นสำคัญ เพราะหากสูญเสียภาคใต้ที่ถือว่าเป็นที่มั่นสุดท้าย อนาคตหลับตาก็เห็นภาพทันที !!


กำลังโหลดความคิดเห็น