“ปานเทพ” เผย งานวิจัยในวารสารด้านยาเสพติดพบกัญชาเสพติด ยากกว่าเหล้า-บุหรี่ ในทางตรงกันข้ามกลับช่วยให้นอนหลับ เจริญอาหาร ลดการอักเสบ เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ ทั้งยังไม่เคยให้อยู่ในบัญชีสารก่อมะเร็งเหมือนบุหรี่-เหล้า
วันนี้ (1 ก.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะโฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
จากงานวิจัยในวารสารทางด้านการเสพติดชื่อ Drug and Alcohol dependence ได้ตีพิมพ์งานวิจัยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 พบว่าการสูบกัญชาเสพติดยากกว่าการติดเหล้าและติดบุหรี่นับตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการใช้ โดยบุหรี่มีโอกาสเสพติดได้มากที่สุดร้อยละ 67.5, เครื่องดื่มแอลกอฮอลมีโอกาสเสพติดร้อยละ 22.7, ในขณะที่กัญชามีโอกาสเสพติดได้เพียงร้อยละ 8.9 เท่านั้น [1]
ในทางตรงกันข้าม กัญชา ช่วยการนอนหลับ เจริญอาหาร ลดการอักเสบ ลดการเกร็ง ลดอาการปวด ฯลฯ เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อประชาชนด้วย แม้แต่รากกัญชา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขก็ยังพบในหลอดทดลองว่าอาจจะฟื้นฟูเนื้อเยื้อปอดหลังติดเชื้อโรคโควิดได้ [2] และมีผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนมากใช้กัญชาใต้ดินอยู่ในประเทศไทย
ยิ่งไปกว่านั้น บุหรี่และเหล้าได้ถูกประกาศโดยสำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (The International Agency for Research on Cancer (IARC)) ภายใต้องค์การอนามัยโลกได้ประมวลงานวิจัยสารก่อมะเร็งจากทั่วโลกนับตั้งแต่การก่อตั้งจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 57 ปี พบว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ เป็นสาเหตุของมะเร็งประเภทที่ 1 ได้หลายอวัยวะ [3]
ในขณะที่ “กัญชา” แม้จะมีสารที่เกิดการเผาไหม้บางชนิดจากการสูบที่เป็นสารก่อมะเร็ง แต่เมื่อพิจารณาวิจัยอย่างรอบด้านและตัดปัจจัยอื่นที่เป็นตัวแปรกวนผลทั้งหลายแล้ว สำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศก็ยังไม่เคยให้ “กัญชา” อยู่ในบัญชีสารก่อมะเร็งของสำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศตลอด 57 ปี จนถึงปัจจุบันเช่นกัน [3]
ในขณะที่คนไทยเถียงกันเองและไม่เชื่อสรรพคุณกัญชา หลายคนคงลืมไปแล้วว่า ผมและคณะในฐานะเครือข่ายประชาสังคมกัญชาทางการแพทย์ และมหาวิทยาลัยรังสิตได้เคลื่อนไหวคัดค้านและช่วยกันยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาต่างชาติที่มาจดสิทธิบัตรเอาไว้กับกระทรวงพาณิชย์ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2561-2562 ว่าตอนนั้นต่างชาติเขาจดสิทธิบัตรกัญชา ในการรักษาหลายโรค ได้แก่ มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งสมอง ฯลฯ ผมและคณะได้เห็นภัยคุกคามดังกล่าว จึงเป็นกลุ่มแรกๆที่เรียกร้องให้ประชาชนปลูกกัญชาเพื่อการพึ่งพาตัวเองได้ ไม่ใช่รอจำนนถูกล่าอาณานิคมทางสุขภาพด้วยสิทธิบัตรยาต่างชาติ ที่จะมาพร้อมกับการสนับสนุนของแพทย์และเภสัชกรไทยที่จะมีผลประโยชน์ร่วมด้วย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประชาชนได้เฝ้ารอการใช้กัญชาทางการแพทย์มาอย่างยาวนาน แต่กลับปรากฏว่ายังคงมี “อคติทางการแพทย์” ที่ปฏิเสธการจ่ายยากัญชาหรือน้ำมันกัญชาให้กับคนไข้ และยังมีแพทย์และเภสัชกรบางกลุ่มที่ต่อต้านกัญชาในขณะนี้มี “ผลประโยชน์หรือส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทยา” และบริษัทยาข้ามชาติ โดยเฉพาะกลุ่มยาแก้ปวด
ดังปรากฏว่า ผลิตภัณฑ์ “น้ำมันกัญชา” ของภาครัฐจ่ายให้กับประชาชนไปครึ่งหนึ่งแต่หมดอายุไปกว่าครึ่ง อีกทั้งยังมีขั้นตอนที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงน้ำมันกัญชาได้ยาก ไม่ครอบคลุมทั้งตำรับและข้อบ่งใช้ตามที่ประชาชนต้องการ ทำให้ประชาชนต้องใช้กัญชาใต้ดินที่มีอันตรายจากสารพิษและราคาแพง บ้างต้องปลูกกัญชาเพื่อใช้เอง บ้างก็สกัดเองเบื้องต้นเพื่อใช้ในครอบครัวเป็นจำนวนมาก แต่ประชาชนมากกว่าร้อยละ 50 ที่ใช้น้ำมันกัญชานั้น เป็นน้ำมันกัญชาใต้ดิน และที่ภาคกลางและภาคใต้เกือบร้อยละ 80 ประชาชนต้องใช้น้ำมันกัญชาใต้ดินทั้งส้ิน
ลองพิจารณาดูว่าผลของนิด้าโพล ระบุว่า มีประชาชนมากถึงร้อยละ 32.98 เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชามาแล้ว หมายถึงมีคนเคยใช้กัญชามาแล้วกว่า 18.8 ล้านคนในประเทศไทย แต่กลับมีผู้ที่ต้องได้รับเข้าบำบัดน้อยมาก และแปลว่าติดยากจริงๆ โดยสูงสุดก็ไม่เกิน 250 คนใน 1 เดือนในปี 2563 และลดลงอย่างต่อเนื่องด้วย ดังนั้นหากมีการติดง่ายจริงหรือส่งผลกระทบรุนแรงจริง เราคงต้องเห็นการเสพกัญชาทั่วบ้านทั่วเมืองติดกันงอมแงมในช่วงสุญญากาศยิ่งกว่านี้หลายร้อยหลายพันเท่าตัวแล้วจริงหรือไม่?
ดังนั้น ผลสำรวจของนิด้าโพล ประชาชนจึงมีมากถึงร้อยละ 58.55 ที่รวมกันทั้งเห็นด้วยมากและค่อนข้างเห็นด้วยในการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ทำให้การปลูก เสพ สูบ บริโภค สามารถทำได้ถูกกฎหมาย ย่อมแสดงว่าประชาชนส่วนใหญ่ได้เข้าใจและมีความรู้มากพอที่จะใช้คุณประโยชน์ของกัญชามากแล้ว
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงไม่มีเหตุผลใดๆเลยที่จะควบคุมให้กัญชาเป็นยาเสพติด หรือถูกคุมเข้มให้ยิ่งกว่าเหล้าและบุหรี่
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
โฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข
1 กรกฎาคม 2565
https://www.facebook.com/123613731031938/posts/5393629357363656/
อ้างอิง
[1] CatalinaLopez-Quintero, et al., Probability and predictors of transition from first use to dependence on nicotine, alcohol, cannabis, and cocaine: Results of the National Epidemiologic Survey on Alcohol and Related Conditions (NESARC),Drug and Alcohol dependence, Volume 115, Issues 1-2, May 2011, Pages 120-130
https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0376871610003753?via%3Dihub
[2] ไทยรัฐออนไลน์, ผลทดลอง “รากกัญชา” ช่วยรักษาเซลล์เนื้อเยื่อปอด เร่งวิจัยช่วยผู้ป่วยโควิด, 21 มิ.ย. 2564 16:10
https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2120975
[3]The International Agency for Research on Cancer (IARC), monographs 2019.
https://monographs.iarc.who.int/wp-content/uploads/2019/12/OrganSitePoster.PlusHandbooks.pdf
https://monographs.iarc.who.int/monographs-available/