โฆษกรัฐบาล เผย ครม.รับทราบมติที่ประชุม คกก.อีอีซี ครั้งที่ 1/2565 เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปี 66-70 เพื่อยกระดับโครงข่ายคมนาคม 77 โครงการ กรอบวงเงินรวม 337,797 ล.
วันนี้ (28 มิ.ย.) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2565 พร้อมเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานฯ พ.ศ. 2566-2570 ประกอบด้วย โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค รวมถึงมาตรการส่งเสริมและเทคโนโลยี เพื่อยกระดับโครงข่ายคมนาคม จำนวน 77 โครงการ กรอบวงเงินรวม 337,797.07 ล้านบาท แบ่งได้ดังนี้
ระยะเร่งด่วน (เริ่มต้นปี 2566) จำนวน 29 โครงการ วงเงินรวม 125,599.98 ล้านบาท อาทิ โครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนรองเพื่อรองรับ รถไฟความเร็วสูง (HSR) ระยะที่ 1 (ชลบุรี-บ้านบึง-EECi และ ระยอง-บ้านค่าย-EECi) โครงการก่อสร้าง High speed taxiway และ Taxiway เพิ่มเติม (ท่าอากาศยานอู่ตะเภา) โครงการพัฒนาระบบการจราจรขนส่งอัจฉริยะ (ITS) โครงการจัดหาพลังงานสะอาด
ระยะกลาง (เริ่มต้นปี 2567-2570) จำนวน 48 โครงการ วงเงินรวม 212,197.09 ล้านบาท อาทิ โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงศรีราชา-ระยอง โครงการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานของระบบ M-Flow บนมอเตอร์เวย์สาย 7 โครงการพัฒนาการให้บริการท่าเรือเชิงพาณิชย์ (ท่าเรือสัตหีบ) โครงการ Dry Port ฉะเชิงเทรา
สำหรับแหล่งเงินลงทุน 337,797.07 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนโดยภาครัฐ (งบฯ ประจำปี/เงินกู้/เงินรัฐวิสาหกิจ/เงินกองทุน) จำนวน 61 โครงการ วงเงินรวม 178,578.07 ล้านบาท (ร้อยละ 53) และการลงทุนโดยเอกชน/PPP จำนวน 16 โครงการ วงเงินรวม 159,219 ล้านบาท (ร้อยละ 47)
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ด้านเศรษฐกิจ เช่น เกิดการจ้างงานระหว่างก่อสร้าง ปี 2566-2570 เฉลี่ยประมาณ 20,000 ตำแหน่ง/ปี และปี 2571-2580 ประมาณ 12,000 ตำแหน่ง/ปี และยกระดับ National Gateway สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่การลงทุน และการท่องเที่ยวของพื้นที่ EEC ด้านสังคม เช่น มีระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัย คุณภาพสูง เชื่อมการเดินทาง แบบไร้รอยต่อ สะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ และมีระบบไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพที่ดี รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้านโลจิสติกส์ เช่น มีเส้นทางรถไฟทางคู่เพิ่มขึ้น 275 กิโลเมตร และมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูง 155 กิโลเมตร สนามบินอู่ตะเภาสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านคน/ปี ท่าเรือแหลมฉบังสามารถรองรับตู้สินค้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านตู้/ปี และรองรับรถยนต์ได้ 3 ล้านคัน/ปี และท่าเรือมาบตาพุด สามารถรองรับสินค้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านตัน/ปี