นายกฯ ประชุม คทช.เร่งแก้ 3 ปัญหาหลัก ย้ำ ต้องเคลียร์ทุกพื้นที่ให้ชัดเจนตาม กม. เพื่อให้ ปชช.ได้รับสิทธิ รับทราบผลการดำเนินงานการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน สั่งเร่งแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลนระนองโดยเร็ว เพื่อเป็นโครงการนำร่องตัวอย่างสำหรับดำเนินการพื้นที่อื่น
วันนี้ (27 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.50 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ 2/2565 ว่า ในการประชุมวันนี้เป็นการรายงานความก้าวหน้า รับทราบผลการดำเนินการ และข้อสรุปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งมีผลเป็นรูปธรรมในหลายพื้นที่ หลายจังหวัดที่มีปัญหาทับซ้อนที่ดินระหว่างรัฐต่อรัฐ และรัฐต่อรัฐที่มีประชาชนเข้าไปร่วมด้วย จึงมีมาตรการการใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 4,000 (One Map) เพื่อเคลียร์พื้นที่ของรัฐต่อรัฐว่าเป็นของใครกันแน่ เนื่องจากบางพื้นที่มีการทาบทับกันอยู่ และการแก้ปัญหาลงรายละเอียดว่าหากมีประชาชนอยู่จะทำอย่ใจางไร นี่คือ การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ประชาชนเดือดร้อน และร้องเรียนมา ตนก็นำเข้าหารือใน คทช. โดยปัญหาหลักประกอบ 1. ป่ารุกคน คือ มีการประกาศพื้นที่ทับซ้อนลงไป 2. คนรุกป่า คือ มีการฝ่าฝืนกฎหมายเข้าไปทำกินในพื้นที่ของป่า และ 3. บางพื้นที่เป็นพื้นที่ที่ต้องพัฒนาความมั่นคงจากสถานการณ์ในอดีตที่ผ่านมาก็มีการจัดคนลงไปในพื้นที่ดังกล่าว
“มันต้องเคลียร์ทุกพื้นที่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนของกฎหมายของแต่ละหน่วยงานไม่ให้มีปัญหาซึ่งกันและกัน ประชาชนได้รับการดูแล ได้รับสิทธิ การพิสูจน์สิทธิต่างๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจน ผมรู้ว่าเดือนร้อนหลายพื้นที่ด้วยกัน” นายกฯ กล่าว
ด้าน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (27 มิ.ย.) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ครั้งที่ 2/2565 ผ่านระบบออนไลน์ (VDO Conference) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมด้วย
นายกรัฐมนตรีขอบคุณคณะกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินงานในห้วงที่ผ่านมาและแผนงานที่จะร่วมกันดำเนินการต่อไป เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทุกคน และดำรงไว้ซึ่งกฎหมายของบ้านเมือง โดยย้ำการแก้ปัญหาหนึ่งต้องไม่นำไปสู่อีกปัญหาหนึ่งตามมาภายหลัง ให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ รวมไปถึงขอให้มีการดำเนินการคัดแยกพื้นที่ที่มีปัญหามาก เพื่อคลี่คลายปัญหาให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้มีความสบายใจ ซึ่งในส่วนของพื้นที่รัฐต่อรัฐ ก็ได้มีการดำเนินการแล้วไม่มีปัญหา แต่จะมีปัญหาเฉพาะพื้นที่ที่มีประชาชนเข้าไปอยู่ร่วมด้วย ซึ่งต้องไปพิจารณาดำเนินการในเรื่องของการพิสูจน์สิทธิภายหลังเพื่อรักษาสิทธิให้ประชาชนและไม่ให้เกิดปัญหาตามมาอีกในภายหลัง ขณะที่เรื่องการส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจใหม่ ต้องมีการให้ความรู้แก่ประชาชนและเกษตรกรเกี่ยวกับการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice : GAP) มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และมาตรฐานด้านการเกษตรอื่นๆ ตั้งแต่เริ่มต้นให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการปลูกพืชที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ ปริมาณน้ำ Agri-Map ตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ตลอดจนเรื่องของระบบขนส่ง เป็นต้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการ คทช. และคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. โดยย้ำถึงปัญหาคนรุกป่า ต้องแก้ด้วยการดำเนินการของ คทช. ส่วนกรณีป่ารุกคน ให้แก้ด้วยหน่วยงานเครื่องไม้เครื่องมือ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอให้เร่งดำเนินการการแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลนชุมชนเมืองระนอง จังหวัดระนองโดยเร็ว เพื่อให้เป็นโครงการนำร่องเป็นตัวอย่างในการดำเนินการพื้นที่อื่นๆ ต่อไป พร้อมกับย้ำขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันทำงานแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนมายาวนานให้กับประชาชน ซึ่งขณะนี้หลายเรื่องก็มีความก้าวหน้าโดยลำดับในรัฐบาลนี้ โดยเกิดจากการร่วมมือของทุกคนที่พยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อทำให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถอยู่รอดปลอดภัย มีความสุข พอเพียงและยั่งยืน
ที่ประชุม คทช. รับทราบประเด็นสำคัญ จำนวน 2 เรื่อง ประกอบด้วย 1. ผลการดำเนินงานการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน 1.1 กำหนดพื้นที่เป้าหมายแล้ว 1,483 พื้นที่ 70 จังหวัด 5,792,144 - 3 - 44.75 ไร่ 1.2 ออกหนังสืออนุญาตแล้ว 356 พื้นที่ 1,123,171 - 3 - 64.82 ไร่ 1.3 จัดคนเข้าทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว 73,809 ราย ใน 331 พื้นที่ 1.4 ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพแล้วใน 247 พื้นที่ 2. การส่งเสริมเกษตรกรในการปลูกพืชเศรษฐกิจใหม่ และการเข้าถึงการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice : GAP) มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และมาตรฐานด้านการเกษตรอื่นๆ ของเกษตรกร โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบที่ดินที่นำมาจัดที่ดินในประเภทอื่น ที่ออกหนังสืออนุญาตการเข้าทำประโยชน์แล้ว ยังไม่มอบสมุดประจำตัว ผู้ได้รับการคัดเลือกการจัดที่ดินทำกิน ให้ดำเนินการออกหนังสือหรือเอกสารรับรองการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้กับราษฎร รวมถึงเกษตรกรทุกรายสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินทำกิน พร้อมส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรกร โดยการปลูกพืชเศรษฐกิจใหม่เพื่อเป็นการสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน ต่อไป
รวมทั้งที่ประชุมมีมติเห็นชอบจำนวน 4 เรื่อง ประกอบด้วย
1. เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลนชุมชนเมืองระนอง จังหวัดระนอง ตามที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมายการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินเห็นชอบ และมอบหมายให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับไปดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบในหลักการการปรับเปลี่ยนให้ผู้ขอใช้ประโยชน์การอยู่อาศัยและทำกินในป่าสงวนแห่งชาติ จากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน หรือกลุ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ที่จัดที่ดินทำกิน ให้ชุมชน และปฏิบัติตามภายใต้เงื่อนไขข้อกำหนดการใช้ที่ดินและแนวทางปฏิบัติของกรมป่าไม้ มาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 การชำระค่าธรรมเนียมหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และดำเนินการตามหลักเกณฑ์การประเมินความเข้มแข็งของสหกรณ์
3. เห็นชอบการเสนอเรื่องนำเรียนคณะรัฐมนตรี ให้กรมป่าไม้ส่งมอบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเสื่อมโทรม “ป่าสวนเมี่ยง” เนื้อที่ประมาณ 361 ไร่ ให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนำไปดำเนินการตามกฎหมายการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมให้แก่สมาชิกสมาคมทหารผ่านศึกพิการแห่งประเทศไทย และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
4. มอบหมายหน่วยงานไปดำเนินการแก้ไขปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) ของพื้นที่กลุ่มที่ 2 จำนวน 11 จังหวัด และพื้นที่กลุ่มที่ 3 จำนวน 11 จังหวัด ให้มีรายละเอียดครบถ้วนยิ่งขึ้น ดังนี้ 4.1 พื้นที่กลุ่มที่ 2 จำนวน 11 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ตราด นครนายก นครสวรรค์ ระยอง (ยกเว้นกรณีพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง) ลพบุรี ศรีสะเกษ และจังหวัดสระบุรี 4.2 พื้นที่กลุ่มที่ 3 จำนวน 11 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี เพชรบูรณ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ และจังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้ พื้นที่กลุ่มที่ 1 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565