ข่าวปนคน คนปนข่าว
**หมุนไม่ทัน หนี้ 100 ล้าน? “บอลนี่ เมธา” ดารุมะ ซูซิ บุฟเฟ่ต์ทิพย์ ซุกอะไรไว้อีก อยู่ที่ขยายผลเส้นทางการเงิน
เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก กรณี “บอล” หรือ “บอลนี่” เมธา ชลิงสุข เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่น “ดารุมะ ซูซิ” ที่ก่อวีรกรรมหลอกขายคูปอง 199 บาท หรือ “คูปองทิพย์” แลกบุฟเฟ่ต์ซูซิแซลมอน ก่อนจะปิดกิจการ เทพนักงาน ลูกค้า และแฟรนไซส์ หลบหนีออกนอกประเทศไปตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. ท่ามกลางดรามาโกลาหลของเหยื่อจำนวนนับพันๆ ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้าน สุดท้ายเมื่อวาน (22 มิ.ย.) ถูกจับกุมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมของกลางเงินสด 20,186 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 710,000 บาท
ประเด็นที่ชาวเน็ตสงสัย ถกเถียงกันในโลกออนไลน์กันมาก ว่า เจ้าของดารุมะ ไปแล้วทำไมย้อนกลับมา? ซึ่งต่อมาเจ้าตัวยอมรับว่า ได้ติดตามจากโซเชียลฯ เห็นเหยื่อเข้าแจ้งความจำนวนมากแล้วเครียดหนัก คิดว่าหนีอย่างไรก็คงไม่รอด เเละทนแรงกดดันไม่ไหว ประกอบกับไม่อยากหนีไปตลอดชีวิต ทำให้ตัดสินใจกลับมาไทย เพื่อเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย
“บอลนี่” ถูกตั้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน โทษจะหนักแค่ไหนก็เป็นอีกประเด็นที่สังคมสนใจ เพราะกรณีนี้มีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก
จากการสอบสวน พบว่า มียอดขายคูปองวอชเชอร์ ผ่านแอป 174,177 ใบ ลูกค้ากว่า 33,002 คน คิดเป็นมูลค่า 27,070,915 บาท และมูลค่าความเสียหายจากผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ มาทำธุรกิจอีก 17,500,000 บาท
งานนี้ประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแล้วเห็นทีจะติดคุกกันยาวๆ หัวโตอย่างไม่ต้องสงสัย โดยที่ผู้เสียหายมีโอกาสได้เงินคืนหรือไม่? แนวโน้มดูแล้วน่าจะยาก เพราะจากคำให้การ “บอลนี่ เมธา” ให้การปฏิเสธ ขอสู้คดี โดยระบุว่า บริษัทมีปัญหาการเงิน ขาดสภาพคล่อง เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 จึงออกคูปองบุฟเฟ่ต์ ราคา 199 บาท เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพราะมีปัญหาการเงินอย่างหนัก ต้องการนำเงินมาใช้จ่ายในระบบ แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ประกอบกับถูกทวงหนี้กว่า 100 ล้านอย่างหนัก จึงตัดสินใจหลบหนีไปตั้งหลักที่สหรัฐอเมริกา
ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา เบื้องต้นได้นำตัวส่งนำส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคบ. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป สำหรับในชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัว และจะคัดค้านการประกันตัวในขั้นศาล โดยจะนำตัวไปฝากขังช่วงเช้าวันนี้ (23 มิ.ย.)
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถอายัดเงินได้หลักแสนบาท และตรวจยึดเงินสดได้ประมาณ 710,000 บาท โดยหลังจากนี้ ตำรวจจะสืบสวนสอบสวนขยายผลในเรื่องเส้นทางการเงินว่ามีการยักย้ายถ่ายเทไปที่บุคคลอื่นหรือไม่ หากพบว่ามีเส้นทางการเงินไปถึงบุคคลใด จะเข้าข่ายกระทำความผิดฐานฟอกเงิน รวมถึงขยายผลในเรื่องผู้ร่วมขบวนการ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทราบว่ายังมีผู้ก่อเหตุรายเดียว คือ “เมธา”
ว่ากันว่า ตอนนี้เงินที่พกติดตัว และในบัญชีธนาคารของเจ้าของดารุมะ เหลือไม่ถึงล้าน แต่จากตรวจสอบเส้นทางการเงินเบื้องต้นของตำรวจ พบว่า เขามีเงินหมุนเวียนในบัญชีบริษัท กว่า 303 ล้าน !!
ดังนั้น ชาวโซเชียลฯ จึงตั้งข้อสังเกต “บอลนี่” เอาเงินไปทำอะไร จึงไม่เหลือ? เอาไปซุกซ่อนไว้กับใคร ที่ไหนอย่างไร หรือไม่ ?
ขณะที่ชาวเน็ตบางคนประเมินจากการแต่งตัวและสิ่งของที่ปรากฏขณะถูกจับกุม เห็นได้ว่า “บอลนี่” มีไลฟ์สไตล์ที่อู้ฟู่ไม่น้อย ด้วยของแบรนด์เนม ทั้งกระเป่าเดินทาง RIMOWA Classic CABIN L สนนราคาเริ่มต้น 30,000 บาทขึ้นไป กระเป๋า Louis Vuitton Horizon 70 Monogram eclipse ราคาเริ่มต้น 109,000 บาท และ กระเป๋า Louis Vuitton GRAND SAC ราคาเริ่มต้น 80,000 บาทขึ้นไป นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับเจ้าของคูปองทิพย์รายนี้ ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่เจ้าตัวให้การกับตำรวจที่ว่า เหลือเงินอยู่ไม่ถึงล้าน
งานนี้ ถ้าตำรวจขยายผลดีๆ เค้นเส้นทางการเงินออกมาได้ สังคมคงได้เห็นอะไรที่ “เมธา” ปิดซ่อนอยู่ โทษทัณฑ์ฐานฉ้อโกงก็ส่วนหนึ่ง แต่อย่างน้อยเหยื่อจำนวนมากก็น่าจะได้รับการเยียวยาอย่างสมน้ำสมเนื้อกันบ้างล่ะ ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูกันต่อไป
** ดรามา “สายมู”!! พระพยอม ดึงสติ “พระแจ้” ขึ้นมึง กู ท้าคนวิจารณ์เรื่องสักยันต์ อาบน้ำมนต์
ก็เพราะปัญหาเศรษฐกิจ ที่ไม่ใช่แค่ข้าวยากหมากแพง แต่มันแพงไปเสียทุกอย่าง แพงทั้งแผ่นดิน การทำมาหากินก็ฝืดเคือง อยากดวงดี มีโชคลาภ ถูกหวย ... “สายมู” ประเภทวัตถุมงคล เหรียญเกจิอาจารย์ ท้าวเวสสุวรรณ สักยันต์ อาบน้ำมนต์ จึงเป็นที่พึงหวัง เป็นที่พึ่งทางใจแบบไทยๆ
และกระแส “สายมู” ที่กำลังแรงไม่แพ้ท้าวเวสสุวรรณ วัดจุฬามณี ในตอนนี้ก็คงจะเป็นการไปอาบน้ำมนต์กับ “พระอาจารย์แจ้” หรือ พระตะวัน อิทฺธิโชโต วัดน้อมประชาสรรค์ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
พระจะดังได้ต้องมีสตอรี่ มีการโปรโมต แพร่ภาพไลฟ์สดช่วงทำพิธีผ่านโซเชียลฯ ให้เห็นว่าในแต่ละวัน มีผู้เดินทางไปเข้าคิวรออาบน้ำมนต์กับ “อาจารย์แจ้” กันหลายร้อย ถังน้ำมนต์ตั้งเรียงเป็นแถวยาวเหยียด... ถ้าทางวัดไม่จำกัดจำนวนเอาไว้คิวคงขึ้นไปถึงหลักพัน
ยิ่งในช่วงท่องสวด บริกรรมคาถา “อาจารย์แจ้” ได้ขอบารมีเกจิดังรุ่นก่อนอย่าง “หลวงพ่อกวย” วัดโฆสิตาราม อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท ว่า เป็นครูบาอาจารย์ ให้มาช่วยปกปักรักษา อำนวยอวยโชคให้กับผู้ศรัทธาเลื่อมใส ... กระแสอาจารย์แจ้ จึงไม่ได้หยุดแค่อาบน้ำมนต์ คราวนี้ทั้งเรื่องสักยันต์ เหรียญหลวงพ่อกวยที่สร้างขึ้นมาใหม่ และภาพถ่าย ก็เป็นที่ต้องการของนักเล่นหา ปั่นราคากันพุ่งพรวดไปหลักพันหลักหมื่น
เมื่อ “อาจารย์แจ้” มาเร็ว มาแรง เพราะกระแสโซเชียลฯ ขณะเดียวกัน ก็ตกเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลฯเช่นกัน ... ประมาณว่า เป็นพระใหม่ บวชแค่สองสามพรรษา จะมีวิชาอาคมแก่กล้าถึงขั้นสร้างเหรียญ ปลุกเสก สักยันต์ ทำน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ได้แล้วหรือ และเป็นศิษย์ผู้สืบทอดวิชาจาก “หลวงพ่อกวย” จริงหรือเปล่า เพราะช่วงเวลาห่างกันคนละยุค ... เงินคงไหลเข้าวัดวันละเป็นแสน เดือนหนึ่งก็คงหลายล้าน!!
เรื่องนี้ทางคณะกรรมการวัดโฆสิตาราม หรือ วัดหลวงพ่อกวย ก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีผลประโยชน์ใดๆ กับอาจารย์แจ้ ... ขณะที่ “อาจารย์แจ้” ก็ยอมรับว่า ไม่ได้เป็นศิษย์หลวงพ่อกวยโดยตรง แต่เป็นศิษย์ของศิษย์หลวงพ่อกวยอีกทีหนึ่ง พร้อมตอบโต้กับข้อข้องใจของสังคมอย่างไม่ยี่หระ ...
“คนที่ถามทำได้อย่างกูหรือเปล่า ถ้าเกิดมาหายใจทิ้งบนสังคมบนโลกนี้ไปวันๆ ก็หุบปาก เอากระจกส่องหน้า รึส่องเงาตัวเองบ้าง ติคนอื่นได้ แต่ต้องติตัวเองก่อน ว่าตัวเองดีขนาดไหน เกิดมาในแผ่นดินแล้ว เหยียบแผ่นดินแล้วให้หนักแผ่นดิน ทำคุณงามความดีอะไรให้กับแผ่นดินบ้าง ถ้าทำคุณงามความดี ตอบแทนคุณแผ่นดินไม่ได้ ช่วยเหลือสังคมไม่ได้ ก็อย่าไปติใครเขาเลย ถ้ารู้มาก เขาเรียกว่าคนรู้มาก สักแต่ว่ารู้ แต่กูทำไม่ได้ จริงไหม จบดอกเตอร์ลองให้มานั่งสักยันต์สิ ทำได้ไหม จบปริญญาเอก ปริญญาตรี มีจิตใจอาสาช่วยเหลือสังคมบ้างไหม...”
คลิปนี้ถูกแชร์จนเป็นไวรัลในโซเชียลฯ ก็เพราะคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรง สีหน้าท่าที สไตล์พระนักเลง ท้าให้คนจบดอกเตอร์ มาสักยันต์แข่งกัน ยิ่งทำให้สังคมมีความรู้สึกไปในทางลบกันมากกว่าเดิม!!
มีคนนำปรากฏการณ์นี้ไปถาม “พระพยอม กัลยาโณ” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ท่านก็ไม่ได้พูดในประเด็นว่าเป็นเรื่องหลอกลวง หรืองมงาย แบบตรงๆ ...แต่ให้ความเห็นในเชิงดึงสติ “พระแจ้” ว่า พระแจ้ คงไม่ได้เรียนรู้เรื่องธรรมสัจจะว่าเป็นเรื่องเฉพาะคน เฉพาะเรื่อง เฉพาะกรณี จึงไปท้าทายคนอื่นเช่นนั้น ...อาตมาถามกลับไปว่า ถ้าคนระดับดอกเตอร์ท้าทายพระแจ้กลับ ให้มาพูดอังกฤษ หรือแข่งเลขคณิต วิทยาศาสตร์ กับเขาบ้าง พระแจ้จะตอบรับไหม จึงไม่ควรไปพูดแบบนั้น...
... อย่าเอาจุดขายของตัวเองไปเทียบกับคนอื่น เพราะไม่สามารถเทียบกันได้ทุกกรณี หรือทุกคน เป็นกิเลสเปล่าๆ...
...การรดน้ำมนต์ก็เป็นเครื่องอุ่นใจอย่างหนึ่ง แต่อย่าทำให้คนลุ่มหลงว่าเป็นน้ำวิเศษมากไปกว่าน้ำเหงื่อ ไม่อย่างนั้นกระทรวงใหญ่ๆ ก็เชิญพระแจ้ไปรดน้ำมนต์ เพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหาได้หมดแล้ว ให้เอาหลักเหตุผลหรือหลักความจริงในธรรมมาพิจารณาดูบ้าง อย่าทำให้ชาวบ้านเชื่ออะไรลมๆ แล้งๆ โดยขาดเหตุผล ... การรดน้ำมนต์ในสมัยก่อน ไม่มีการเรียกเก็บเงินทอง แต่เป็นกุศโลบาย สงเคราะห์กันไป เพราะก่อนจะรด จะราดน้ำมนต์ ก็ให้ตกปากรับศีล รับพร เพื่อให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีล ไม่เหมือนยุคนี้ ที่ไม่มีสอนมีสั่งอะไรเลย เสกๆ แล้วก็ราดๆ ให้จบๆ กันไป....
ก็หวังว่าทั้งพระแจ้ และผู้ที่คิดจะไปรดน้ำมนต์ ล้างซวย ช่วยเสริมดวง คงได้คิดถึง “หลักธรรม” ที่แฝงอยู่ในคำพูดของพระพยอมครั้งนี้