xs
xsm
sm
md
lg

“รสนา” แนะรัฐปฏิรูปพลังงาน ยกเลิกสูตรสมมตินำเข้าก๊าซและน้ำมันที่ไม่มีจริง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รสนา” เรียกร้องนายกฯ ใช้วิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานไปทั่วโลก เป็นโอกาสในการปฏิรูปพลังงานไทย ด้วยการยกเลิกสูตรสมมติราคานำเข้าก๊าซและน้ำมันที่ไม่มีจริง

วันที่ 19 มิถุนายน 2565 นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กทม. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว รสนา โตสิตระกูล หัวข้อ วิกฤตสงครามเป็นโอกาสในการปฏิรูปพลังงานไทย ว่า..

สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งตัวเองไม่ได้ด้านพลังงาน และแม้ประเทศที่น่าจะพอพึ่งตัวเองได้อย่างไทย แต่เมื่อบริษัทพลังแห่งชาติถูกแปรรูปไป ราคาพลังงานก็กลายเป็นธุรกิจที่ต้องหากำไรทุกเม็ด ยิ่งรัฐบาลไทยออกกติกาคุ้มครองบริษัทพลังงานว่าเป็นธุรกิจเสรี ก็แทบไม่สามารถบริหารจัดการพลังงานให้มีราคาที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนได้เลย ทั้งที่รัฐถือครองหุ้นใน บมจ.ปตท.เกิน 50% และในหนังสือชี้ชวนการซื้อหุ้นใน บมจ.ปตท.เมื่อปี2544 ได้ระบุไว้ชัดเจนให้ผู้ลงทุนรับรู้ความเสี่ยงว่ารัฐบาลสามารถแทรกแซงราคาพลังงานได้ แต่รัฐบาลกลับอ้างว่าบริษัทพลังงานมีกฎหมายคุ้มครอง ทำอะไรไม่ได้ ต้องใช้วิธีขอร้อง ขอความร่วมมือเท่านั้น

ช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น เมื่ออ้างว่าบริษัทพลังงานเป็นตลาดเสรีทั้งที่สูตรโครงสร้างราคาน้ำมันไทยเป็นราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ ทำให้มีปรากฏการณ์ค่าการกลั่นสูงถึง 8.56 บาทต่อลิตร

สังคมให้ความสนใจกับราคาน้ำมันที่มีกำไรสูงเกินสมควรไปมาก แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือสูตรราคาก๊าซหุงต้มก็ใช้วิธีสมมติว่านำเข้ามาจากซาอุดิอารเบีย ซึ่งสูตรราคาสมมติว่าน้ำมันสำเร็จรูปนำเข้าจากสิงคโปร์ และก๊าซหุงต้มสมมติว่านำเข้าจากซาอุดีอาระเบีย ก็ทำให้ราคาพลังงานที่คนไทยใช้แพงเวอร์ จนการเอากองทุนน้ำมันไปชดเชยกำลังถึงคราวล่มจมเพราะเป็นหนี้บักโกรก ทั้งที่หนี้เหล่านั้นมาจากสูตรราคาที่อุ้มเอกชนให้ได้กำไรในนามของการค้าเสรีแบบปลอมๆเท่านั้น ใช่หรือไม่

ทรัพยากรปิโตรเลียมหลักของไทย คือ มีก๊าซมากกว่าน้ำมัน โดยก๊าซหุงต้ม (LPG) จากโรงแยกก๊าซและจากโรงกลั่นน้ำมันรวมกันแล้วกว่า 90% ของความต้องการใช้ในประเทศ ก๊าซ LPG ส่วนที่นำเข้ามีประมาณไม่เกิน 10%

ก๊าซจากโรงแยกที่ถือว่าเป็นทรัพยากรในประเทศมีถึง 55% ในขณะที่คนไทยให้เป็นก๊าซหุงต้มในครัวเรือนเพียง 33% ซึ่งทรัพยากรก๊าซในประเทศเพียงพอให้คนไทยใช้ ได้ในราคาในประเทศ รัฐบาลในอดีตจึงกำหนดราคาควบคุมราคาก๊าซหุงต้มให้ภาคครัวเรือนได้ใช้ในราคาประมาณกิโลกรัมละ 10 บาท (333 เหรียญต่อตัน) ก่อนบวกภาษีและค่าการตลาด

แต่ตั้งแต่ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐประหาร เมื่อ 22 พ.ค. 2557 ก็มีการยกเลิกราคาก๊าซหุงต้มควบคุมภาคครัวเรือนเมื่อ 15 ธ.ค. 2557 และให้ไปสมมติราคาก๊าซหุงต้มว่านำเข้าจากประเทศซาอุดิอารเบียทำให้ราคาก๊าซหุงต้มตามกลไกตลาดเสรีที่อ้าง เพิ่มเป็นราคา 28.65 บาท/กิโลกรัม (17 มิ.ย. 2565) และเอากองทุนน้ำมันมาชดเชยกิโลกรัมละ 13.86 บาท/กก.เท่ากับเอากองทุนน้ำมันมาอุ้มราคาถึงถัง (15 กิโลกรัม) ละ 207 บาท (17 มิ.ย. 2565)

หากไม่ยกเลิกสูตรราคาสมมตินำเข้า ทั้งที่ไม่มีการนำเข้าจริง จะไม่สามารถแกปัญหาความหายนะของกองทุนน้ำมัน และความไม่เป็นธรรมของราคาก๊าซและน้ำมันในประเทศได้เลย การเอากองทุนน้ำมันมาชดเชยก๊าซหุงต้ม 207 บาท/ถัง จน LPG ติดหนี้กองทุนเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นหนี้ที่เกิดจากการซื้อขายจริง หรือเกิดจากกติกาที่รัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มพลังงานเอาเปรียบราคาประชาชน ใช่หรือไม่

สูตรโครงสร้างราคาน้ำมันที่ใช้ราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ ใช้มาตั้งแต่ยุคที่ไทยส่งเสริมให้มีการสร้างโรงกลั่นในประเทศเพื่อกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปทดแทนการนำเข้าน้ำมันเพื่อให้ได้น้ำมันราคาถูก การให้แรงจูงใจเช่นนี้เพื่อช่วยอุ้มโรงกลั่นในระยะแรก แต่ปรากฎว่าแม้โรงกลั่นจะยืนได้เองแล้ว และสามารถส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปขายต่างประเทศ เป็นสินค้าส่งออกติดอันดับ 1 ใน 5 มีรายได้ปีละกว่า 300,000 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่ยอมยกเลิกสูตรโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ใช้ราคาสมมติว่านำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ และไม่มีรัฐบาลไหนกล้ายกเลิกสูตรราคาที่ให้แรงจูงใจโรงกลั่นได้เลย

มีแต่นักการเมืองที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจแล้วมาเรียกร้องให้ยกเลิกสูตรฟันหัวประชาชนทั้งที่ฟันมาแล้ว 25 ปี น่าเสียดายที่นักการเมืองขณะมีอำนาจอยู่ก็ไม่เคยกล้าใช้อำนาจในการยกเลิกสูตรขูดรีดนี้แต่ประการใด

รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้กลไกหากำไรจากก๊าซที่เป็นปิโตรเลียมหลักของประเทศสามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำให้กับบริษัทพลังงาน ดังที่ได้กำหนดกติกาดังนี้

1) ยกเลิกราคาควบคุมก๊าซหุงต้มสำหรับภาคครัวเรือนคนไทยที่รัฐบาลก่อนหน้านั้นเคยกำหนดไว้ประมาณ 10 บาท/กิโลกรัม (333 เหรียญ/ตัน) โดย พล.อ ประยุทธ์ สั่งให้ยกเลิกราคาควบคุมไปเมื่อ 15 ธันวาคม 2557 ทุกวันนี้ราคาก๊าซหุงต้มหน้าโรงแยกก๊าซขึ้นไปเกือบ 3 เท่าตัว คือ 28.65 บาท/กิโลกรัม (ราคาเมื่อ 17 มิ.ย. 2565)

2) ยกเลิกการเก็บเงินการใช้ก๊าซ LPG ของบริษัทปิโตรเคมีที่เคยส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 1 บาท/กิโลกรัม จ่ายตั้งแต่ 4 ต.ค 2554 และถูกยกเลิกโดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในยุคของ พล.อ ประยุทธ์ เมื่อ 2 ก.พ. 2558

3) ปิโตรเคมีสามารถใช้ LPG ในราคาถูกกว่าภาคส่วนอื่น โดยมีสัญญาซื้อขายระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก โดยได้ใช้ก๊าซหุงต้ม หรือ LPG จากโรงแยกในราคาประมาณ 17 บาทต่อกิโลกรัม ถูกกว่าภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม ที่ใช้ราคาสมมติว่านำเข้าที่ 28.65 บาท/กก.

4) ปิโตรเคมีที่ใช้ทำพลาสติกไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิต (ทั้งที่เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างขยะ ในกระบวนการผลิตก่อมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม) และยังได้รับการยกเลิกไม่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมัน จึงมีกำไรอย่างมหาศาล

ข้อเสนอในการแก้ปัญหาพลังงานเพื่อความเป็นธรรมต่อรัฐบาล พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา

1) ขอให้ยกเลิกสูตรสมมติราคานำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์ และเปลี่ยนสูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น เป็นราคาส่งออก+0.10 บาท ต่อลิตร

2) ยกเลิกสูตรสมมติราคาก๊าซนำเข้าจากซาอุดีอาระเบีย และในส่วนของภาคครัวเรือนให้ใช้ก๊าซในประเทศจากโรงแยกในราคาควบคุม 333 เหรียญ/ตัน ไม่เกิน 350 เหรียญ/ตัน หรือราคาประมาณ 11-12 บาทต่อกิโลกรัม ไม่ใช่ 28.65 บาทต่อกิโลกรัม

3) ให้เก็บเงินจากปิโตรเคมีเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนที่ใช้ก๊าซ LPG จากโรงแยกเพราะเป็นทรัพยากรในประเทศโดยคำนวณส่วนต่างจากราคาตลาดโลก ลบด้วยราคาที่ซื้อจากโรงแยก

ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2565 ก๊าซหุงต้ม หรือ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซ ทั้งหมดอยู่ที่ 257 ล้านกิโลกรัม ปิโตรเคมีใช้ไป 230 ล้านกิโลกรัม เมื่อคำนวณราคา LPG ตลาดโลก ที่ 750$ ต่อตัน (25.875 บาท/กก.) ราคาที่ปิโตรเคมีซื้อจากโรงแยกที่ 498$ ต่อตัน (17.18 บาท/กก.) มีส่วนต่างอยู่ที่ 8.695 บาท/กก. รัฐบาลจึงควรสั่งให้ปิโตรเคมีจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 230 ล้าน กก. X 8.695 บาท เป็นเงิน 1,999,850,000 บาท

5) รัฐบาลสมควรเก็บภาษีสรรพสามิตจากก๊าซ LPG ที่ปิโตรเคมีใช้ เพราะกิจการปิโตรเคมีที่ผลิตพลาสติกก่อให้เกิดขยะพลาสติกปริมาณมาก และมลภาวะทางอากาศ จึงสมควรที่จะเก็บภาษีสรรพสามิตเพื่อนำมาใช้กับกิจการด้านเก็บขยะและดูแลอากาศสะอาด

รัฐบาลมีหน้าที่สร้างความเป็นธรรมด้านราคาและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงพลังงานระหว่างประชาชนกับภาคส่วนอื่นที่เป็นผู้ประกอบการด้านพลังงาน โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดวิกฤตการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งไม่อาจกำหนดได้ว่าจะยุติในเวลาอันสั้น หรือลุกลามขยายตัวต่อไป และจะส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานกับค่าครองชีพของประชาชนมากน้อยเพียงใด รัฐบาลควรเตรียมการเปลี่ยนแปลงกติกาให้เหมาะสม นายกรัฐมนตรีควรรีบยกเลิกกติกากำหนดสูตรโครงสร้างราคาพลังงานที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ดังที่ท่านเคยประกาศว่าจะให้ความเป็นธรรมด้านพลังงานกับคนไทย












กำลังโหลดความคิดเห็น