ก๊วนทนายดัง บุกสภา ร้อง “ชวน” จี้สอบ “มงคลกิตติ์” ผิดจริยธรรมพ้นเก้าอี้ ส.ส. ปมคลิปข่มขู่ “ทนายเดชา” ลั่นพร้อมแจ้งความกลับหากไปแจ้งความที่ จชต. “แทนคุณ” รับลูกเกาะติดไม่ปล่อย ชี้ หากผิดจริงตัดสิทธิการเมือง 10 ปี
วันนี้ (1 มิ.ย.) เวลา 15.00 น. ที่รัฐสภา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม พร้อมด้วย นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ และ นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความชื่อดัง ยื่นหนังสือถึง นายชวน หลักภัย ประธานสภาผู้แทนราษฏร ผ่าน นพ.กิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภา และ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ คณะทำงานทางการเมืองของประธานสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบจริยธรรม นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์
นายษิทธา กล่าวว่า สาเหตุเกิดจากกรณีที่นายมงคลกิตติ์ แสดงความคิดเห็นด้วยการไลฟ์สดและแถลงข่าวในทำนองข่มขู่ประชาชน ก่อนหน้าที่โทรศัพท์ไปหานายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา และพูดในทำนองว่า จะใช้วิธีนอกกฎหมาย ซึ่งเป็นวิธีทางการเมือง ตนอยากถามนักการเมือง ปกตินักการเมืองจะใช้วิธีนอกกฎหมายกันอยู่แล้วหรือ และ นายมงคลกิตติ์ ยังพูดระหว่างการไลฟ์สดว่าจะไปแจ้งความดำเนินคดีตนพร้อมกับทนายคนอื่นๆ ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาาคใต้ ถือว่าเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต และเป็นการกลั่งแกล้ง เราฐานะทนายความถือเป็นประชาชนคนหนึ่ง สามารถแสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้ในทางที่ไม่ละเมิดสิทธิใคร อีกทั้งในการให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ นายมงคลกิตติ์ ยังรับสารภาพว่า ได้มีการข่มขู่จริง
“ผมได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงประธานสภา พร้อมกับคลิปจำนวน 3 คลิป ทั้งคลิปข่มขู่นายเดชา คลิปไลฟ์สดของนายมงคลกิตติ์ และคลิปคำรับสารภาพของเขาว่าได้มีการข่มขู่จริง ผมเห็นว่ามาตรฐานจริยธรรมของนักการเมืองควรมีสูงกว่าประชาชนทั่วไป ซึ่งการกระทำของนายมงคลกิตติ์ ทำให้สภาดูไม่ดีเท่าไร จึงมายื่นหนังสือถึงนายชวน เพื่อขอให้ตรวจสอบว่าการกระทำของนายมงคลกิตติ์ ผิดจริยธรมหรือไม่ หากผิดจริงของให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ยืนยันว่า พวกเราไม่ได้ทำผิด หากนายมงคลกิตติ์แจ้งความ เราก็จะแจ้งความกลับในทุกเรื่อง และอย่าไปใช้ชื่อพรรคการเมืองหรือตำแหน่งการเมืองในพรรคมาแจ้งความดำเนินคดี ถ้าเป็นลูกผู้ชายเขาไม่อ้างคนอื่น ตัวเองเป็นคู่กรณีก็ขอให้กล้าหน่อย” นายษิทธา กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายมงคลกิตติ์ ระบุว่า จะมีการกำจัดโดยใช้วิธีการการเมืองนั้น มองอย่างไร นายษิทธา กล่าวว่า คำว่ากำจัด คือ การทำให้สูญสิ้นไป พอไปเติมคำว่าการเมือง มันทำให้คนมองว่า การเมืองใช้วิธีการที่สกปรกหรือ จึงจะต้องมากำจัดกัน อย่าไปบอกว่าเป็นวิธีที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะนายมงคลกิตติ์บอกเองว่ามันมีอยู่หลายวิธี ทั้งวิธีตามกฎหมาายและนอกกฎหมาย ดังนั้น ทุกคำพูดตนเก็บไว้หมดแล้ว ถาม่วา ทุกวันนี้ที่ทำอยู่นั้นเป็นการทำหน้าที่ ส.ส.หรือไม่ เพราะเวลาให้สัมภาษณ์ก็จะอ้างตำแหน่งเลขาธิการพรรคบ้าง หรือสมาชิกพรรคบ้าง ทำให้คิดว่าพรรคไทยศรีวิไลย์ ต้องการจะมีเรื่องส่วนตัวกับใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรค มันน่าจะเกี่ยวกับบุคคลมากกว่า
เมื่อถามว่า แต่ นายมงคลกิตติ์ อ้างว่า ไม่ใช่การข่มขู่ แต่เป็นการเตือน ฐานะที่สนิทกันกับนายเดชา นายษิทรา กล่าวว่า ตนก็รู้อยู่แล้วว่าเขาออกมาพูดทรงนี้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า มองว่า ใช้ช่องว่างทางกฎหมายมากลั่นแกล้งได้หรือไม่ นายษิทรา กล่าวว่า ตนเก็บหลักฐานไว้หมดแล้วที่นายมงคลกิตติ์ระบุว่าจะไปแจ้งใครอะไรใคร หากมีการแจ้งจริงๆ ตนจะนำใบรับแจ้งความและนำไปให้นายชวน เพราะถือเป็นการกลั่นแกล้ง เพราะนายมงคลกิตติ์พูดถึงเรื่องการเมืองตลอด โยงว่าเป็นเรื่องของพรรคการเมือง ซึ่งตนไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคไทยศรีวิไลย์เลย ตอนที่ตนโพสต์ตนก็ไม่ได้โพสต์ถึงพรรค แค่บอกว่าคนปัดเศษ ซึ่งทั่วประเทศเขาก็รู้อยู่แล้วว่าคืออะไร
เมื่อถามว่า การมายื่นหนังสือตรวจสอบวันนี้ได้พูดคุยกับนายเดชาหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ นายเดชา ก็ต้องการมายื่นเช่นกัน นายษิทรา กล่าวว่า ยังไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกัน แต่ที่ตนต้องรีบมายื่นวันนี้ เพราะพรุ่งนี้ตนต้องเดินทางไปต่างประเทศ ตนไม่ใช่ตัวแทนของนายเดชาที่มายื่นเรื่อง เพราะนายเดชาสามารถมายื่นด้วยตนเองได้ ก่อนหน้านี้ตนได้สอบถามว่าตกลงนายเดชาจะมายื่นตรวจสอบหรือไม่ ซึ่งเขาก็ยังตัดสินใจอยู่
เมื่อถามว่า นายษิทรา โดนข่มขู่นอกรอบหรือไม่ นายษิทรา กล่าวว่า นายมงคลกิตติ์ไม่ได้ขู่ตน แต่ก็เคยโทรมาหาตนตอนไปทำเรื่องที่ภูเก็ต โดยบอกว่ามือถือจากเพชรบุรีไปถึงภูเก็ตแล้วให้รีบออกจากโรงแรม แต่เมื่อถามว่าตนอยู่โรงแรมไหน เขาก็ไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ไหน เหมือนสร้างเรื่องมาให้เราเกิดความกลัว ซึ่งเมื่อตนมากรุงเทพฯ ทำเรื่องรองหัวหน้าพรรค เขาก็มาบอกอีกครั้งนี้เขาจะยิงให้ตาย ซึ่งตนไม่คุยด้วยแล้วเพราะเริ่มเลอะเทอะและไร้สาระ ภายหลังนายมงคลกิตติ์โทรมาตนก็ไม่รับสาย
ด้าน นายแทนคุณ กล่าวว่า ตนจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและตรวจสอบ ซึ่งอาจจะเข้าข่ายเรื่องประมวลจริยธรรม พ.ศ. 2563 มาตรา 13 ที่ว่าด้วยเรื่องของสมาชิกท่ห้ามข่มขี่หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย หรือกำลังประทุษร้าย ผู้อื่นทั้งในบริเวณสภาและนอกสภา ซึ่งจะต้องไปดูเงื่อนไขที่พูดว่าสามารรถตีความเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน และประเด็นที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวกับประชาชนด้วยวิธีนอกระบบ จากคำว่า กำจัด และจะไปแจ้งความในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เกิดความหวาดกลัวหรือไม่ แต่กรณีที่เท่าที่ฟังดูเป็นเรื่องหมิ่นประมาท รวมถึงตรวจสอบเรื่องการแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น การเข้าไปยุ่งเกี่ยกวับคดีความ ซึ่งต้องแยกเรื่องความหวังกับอำนาจหน้าที่ที่ทำ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ตนจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาฝ่ายกฎหมายของสภา
“เรื่องนี้จะเข้าสู่การพิจารณาคณะกรรมการจริยธรรมสภาฯ หากพบว่ามีมูลจะส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป เพื่อส่งศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อหยุดปฏฺิบัติหน้าที่ต่อไป และอาจะหยุดความเป็น ส.ส. พร้อมทั้งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการภายใน 1-2 เดือน แต่เราต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย” นายแทนคุณ กล่าว