xs
xsm
sm
md
lg

“เต้-อัจฉริยะ” จัดเต็มทนายให้ “แม่แตงโม” เชื่อ โยงฆาตกรรมอำพราง ส่งซิกรูดซิปปมมือถือ-บังแจ็ค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“มงคลกิตติ์-อัจฉริยะ” จัดชุดใหญ่ทีมทนายประกบ “แม่แตงโม” เชื่อ โยงฆาตกรรมอำพราง น้อยใจที่ผ่านมา กระหน่ำบิดเบือน ส่งซิกห้ามตอบปมมือถือ-บังแจ็ค ดึงเชงรอฟัง 2 มิ.ย. ยันไม่มีแบล็กเมล์ แม่สะอื้นสงสารลูก รับ “เดชา” ขู่ห้ามโทร.หา “อัจฉริยะ” ยันไม่เทข้อมูลเกิน 100%

เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ นางภนิดา ศิริยุทธโยธิน มารดา น.ส.นิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม,  นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ร่วมแถลงความคืบหน้าการดำเนินคดีการเสียชีวิตของ น.ส.นิดา โดย นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า จากการที่ทางนางภนิดาได้มาร้องขอให้ตน และชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมมาช่วยเหลือคดีการเสียชีวิตของ น.ส.นิดา ซึ่งวันนี้ทางอัยการยังไม่ได้สั่งฟ้องเลื่อนไป 12 วัน จึงยังพอมีเวลาที่เราจะดำเนินคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(7) ทั้งคดีแพ่งและอาญา ตนขอชี้แจงว่า การดำเนินคดีครั้งต่อไป คนที่รับผิดชอบ จะประกอบด้วย ตนในฐานะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ และ นายอัจฉริยะ ส่วนที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ประกอบด้วย พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ อดีตผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำ รมว.กลาโหม พล.ท.อัศวิน รัชฎานนท์ รองหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และทีมทนายความ ได้แก่ นายวินัย ชุมสวัสดิ์ และ นายสุธีพงศ์ ชีวิตเจริญ ทนายความชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นอกจากนี้ มีทีมที่ปรึกษากฎหมาย ได้แก่ นายศยุน ชัยปัญญา เลขาธิการพรรคไทยศรีวิไลย์ นายศฤงคาร ข่ายสุวรรณ กรรมการบริหารพรรคไทยศรีวิไลย์ และ นายบัญชา สุชญา สมาชิกพรรคไทยศรีวิไลย์


นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า โดยมอบหมายให้นายบัญชา เป็นทนาย และโฆษกประจำตัวนางภนิดา ทั้งนี้ ตน และ น.ส.ภคอร จันทรคณา (ชีวานันท์) บุตรสาวนางนัยนา ชีวานันท์ รองหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ในฐานะนักแสดงช่องเดียวกับ น.ส.นิดา จะทำหน้าที่ดูแลนางภนิดา แทน น.ส.นิดา ในช่วงระหว่าง 2 ปีครึ่งจากนี้ จะกว่าการดำเนินคดีจะแล้วเสร็จซึ่งคาดว่าจะเป็นปี 2567 ซึ่งการดำเนินคดีครั้งนี้ เพื่อคืนความยุติธรรมให้เป็นไปตามความเป็นจริงตามความรู้สึกของผู้เสียหายโดยตรง ก็คือ คุณแม่ของน้องแตงโม ตนเชื่อว่า คดีนี้จะเป็นตัวอย่างของการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมซึ่งภาคประชาสังคมทุกคนมาร่วมด้วยช่วยกัน

ขณะที่ นางภนิดา ได้อ่านแถลงการณ์ระบุว่า รู้สึกอึดอัดใจทุกประเด็นการเสียชีวิตของลูกสาว ลูกสาวตนถือเป็นอภิชาตบุตร และจริงๆ แล้ว ลูกสาวตนอยากทำงานด้านการเมือง ลึกๆ ตนเจ็บปวดชอกช้ำมาก ทุกวันนี้ยังคิดถึงลูก คิดถึงลูกอยู่ทุกวันเวลา ยังลืมไม่ได้ แต่ถึงเวลาแล้วที่ตนจะต้องทวงความยุติธรรมให้กับลูกสาวคนเดียวที่ตนมี ตนรักสุดหัวใจ ตนต้องการให้ลูกได้รับความเป็นธรรม ตามกระบวนการยุติธรรม ที่เป็นไปตามความจริงอย่างถึงที่สุด ตนมีความเข้าใจว่าลูกสาวตนอาจไม่ได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ แต่อาจจะเป็นการเสียชีวิตจากการฆาตกรรมอำพราง จึงตัดสินใจดำเนินคดีต่อศาลฯด้วยตนเอง โดยได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจากพรรคไทยศรีวิไลย์ ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม บุคคลสำคัญ อาทิ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจน์สุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนนรินทร์ ศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ รวมถึงประชาชนที่เห็นเหตุการณ์


“คุณแม่มีความรู้สึกเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกสาวคุณแม่ คุณแม่เสียเวลาไปแล้วจริงๆ 3 เดือนเต็ม ตอนนี้คุณแม่ก็จะสู้ลุกขึ้นมาสู้ด้วยความถูกต้อง จะสู้เพื่อลูก จริงๆ ที่ผ่านมา ก็สู้ แต่ไม่ได้บอกใคร คุณแม่มีหลักฐานเยอะแยะ เก็บหลักฐานเอง แต่ประชาชนคิดว่าไม่เห็นคุณแม่ทำอะไรเลย คุณแม่ไม่ออกมาช่วยลูกเลย คุณแม่อยากทราบว่าต้องออกมาประกาศด้วยหรือ ถ้าคุณแม่ไม่ช่วยลูกคุณแม่ไม่ผอมแบบนี้ แม่น้ำหนักลดไป 7 กก. เพราะว่าไม่ได้หลับได้นอน ที่สำคัญคือสื่อมวลชนโทร.หาคุณแม่บ่อยถึง 20 สายแบบเข้าคิวมา แต่แม่รับทุกสาย ไม่เคยปฏิเสธ ไม่ได้ทานข้าว ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น ขอข้อมูลอะไรแม่ไม่เคยปฏิเสธ เพราะเข้าใจ คุณแม่ก็เคยเป็นสื่อเหมือนกันแต่เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ให้โรงแรม ขอเข้าใจคุณแม่ด้วยว่าอย่ามองคุณแม่ผิดอย่าให้ค่าคุณแม่ผิด ตั้งแต่นี้ต่อไปขอความกรุณาให้ข่าวในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าบิดเบือน แม่ตั้งใจจะหาความจริงเรื่องลูก ถูกฆาตกรรมด้วยวิธีใด ตรงนี้สำคัญ” นางภนิดา กล่าว

แม่ดาราสาวแตงโม กล่าวอีกว่า สื่อใดที่มีหลักฐาน หรือช่วยหาหลักฐานให้ตนบ้าง ก็จะดี จะได้ช่วยกันลดทอนความยุ่งยากของตน สัญญาได้หรือไม่ว่าสื่อจะช่วยหาหลักฐาน จะไปปลอมตัวเป็นใคร ไปที่ไหน ก็ทำไปเลย และมาเบิกค่าใช้จ่ายที่ตน คดีของลูกสาวตนจะได้เกิดความยุติธรรมจริงๆ แล้วอยากให้มีความถูกต้อง เพื่อเป็นบรรทัดฐานในคดี ต่อไปจะได้ไม่โดนโมเมนต์แบบนี้ถึง 3 เดือนที่ผ่านมา ลูกสาวตนไปโดนหมกเม็ดอยู่ที่ไหนเยอะแยะไปหมด ไม่ตรงโน้นก็ตรงนี้ แต่ข้อเท็จจริงไม่เคยเปิดเผย ทั้งที่สื่อก็รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ไม่มีใครเคยบอกตน สื่อก็ปกปิดตนเหมือนกัน ที่ผ่านมา ไม่ใช่ข้อเท็จจริง และเอามาพูดกัน
ขณะที่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนได้รับมอบอำนาจจากนางภนิดาอย่างเป็นทางการโดยชอบด้วยกฎหมาย ในการใช้สิทธิฟ้องร้องบุคคลบนเรือทั้งหมด วันนี้ตนได้นำหลักฐานบางส่วนให้นางภนิดาดู และเชื่อว่า นางภนิดา เข้าใจในสิ่งที่ตนทำในเรื่องเกี่ยวกับฆาตกรรมอำพรางที่เกิดขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป คือ จะมีการพิสูจน์เรือใหม่ รวมถึงแนวทางการฟ้องร้องดำเนินคดีบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมอำพราง น.ส.ภัทรธิดา หลักฐานบางส่วนตนไม่สามารถเปิดให้คนทั้งประเทศดูได้ แต่ตนให้แม่ดูจนมีการแต่งตั้งตนและทีมทนายเป็นผู้รับมอบอำนาจ ทั้งนี้ ตนจะเชิญอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกามาร่วมเป็นทีมงานในการร่างคำฟ้องด้วย และจะมีผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 15 คน จากทุกสาขาอาชีพ เช่น ด้านการแพทย์ มี พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่จะมาพิสูจน์เรื่องบาดแผลก้างปลา นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ มาพิสูจน์บาดแผลที่ขาข้างขวาและบาดแผลอื่นๆ ว่า เกิดจากอะไรกันแน่ แต่ยืนยันได้ว่า ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือแน่นอน ผู้เชี่ยวชาญทางเรือที่สามารถยืนยันได้ว่าจากประสบการณ์ขับเรือสปีดโบ๊ตรุ่นดังกล่าว แตงโมไม่ได้ตกท้ายเรือ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบจีพีเอส รวมถึงอดีตอัยการ จะมาช่วยกันผนึกกำลังเพื่อทวงความยุติธรรมให้แตงโม


นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา คุณแม่เสียเวลาไปเยอะแล้ว วันนี้สิ่งที่เรารอคอยในการทำให้คุณแม่ยอมรับว่าคดีนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุจากการนั่งปัสสาวะท้ายเรือ โดยเรามีหลักฐานบางอย่างและให้คุณแม่ดูเรียบร้อยแล้ว อะไรที่ทำได้เราจะทำทันที โดยเฉพาะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เมื่อได้รับมอบอำนาจจากคุณแม่แล้ว เราจะทำงานง่ายขึ้นในการขอเอกสารต่างๆ และในการพิจารณาต่างๆ จะไม่ปิดกั้น โดยให้คุณแม่ดูทุกขั้นตอนของการทำงานอย่างโปร่งใส เราจะใช้เวลาอีกไม่นานในการรวบรวมพยานหลักฐาน วันที่ 30 พ.ค.นี้ จะใช้โดรนใต้น้ำสำรวจหาวัตถุพยานสำคัญ 2 คน มาชี้จุดให้ ว่าเขาทิ้งอะไรไว้ที่ไหนบ้าง เราไม่ได้คาดหวังแต่ก็จะพิสูจน์ให้สิ้นสงสัย

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่ากระบวนการที่วางไว้จะไม่เสียเวลาเหมือน 3 เดือนที่ผ่านมา นายอัจฉริยะ กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดเป็นนิมิตหมายอันดี ที่อัยการจังหวัดนนทบุรี ได้เล็งเห็นความสำคัญในการยื่นขอความเป็นธรรมของเราจำนวน 8 ข้อ ซึ่งมันสามารถพิสูจน์ได้ว่าหากอัยการมีการสอบ 8 ประเด็นที่เราร้องขอ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องของความประมาท ตนไม่เข้าใจว่า คนบนเรื่อมีแค่ 5 คนทำไมตำรวจมีสำนวนการสอบสวนถึง 2 พันกว่าแผ่น เราใช้คนไม่เกิน 15 คน และคาดว่า ใช้เวลาไม่นานในการพิสูจน์ความจริง โดยการใช้นิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก เพราะหากใช้คนเป็นหลักจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ ทั้งนี้ สิ่งที่จะทำต่อไปคือ การดำเนินคดีตามกฎหมายกับพยานเท็จทุกคน ซึ่งสัปดาห์หน้าก็จะมีการดำเนินคดีกับรายหนึ่งที่เป็นพยานสำคัญที่ตำรวจนำมาอ้างอิงและเป็นพยานเท็จแน่ๆ เพราะหากปล่อยให้อยู่ในสำนวนของตำรวจ จะทำให้คดีเกิดความเสียหาย


เมื่อถามว่า สามารถเปิดเผยหลักฐานใหม่ๆ ที่จะบ่งชี้ไปถึงการฆาตกรรมได้บ้างหรือไม่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า อย่างน้อยท่ีสุดเรือที่ตนจะขอตรวจคราบเลือด เรือไม่ใช่เรือทั่วไป ซึ่ง นางภนิดา ได้เห็นแล้ว แต่ตนขอยังไม่เปิดเผย แต่สิ่งที่ตนทำทั้ง 8 ประเด็น มีเหตุผลว่าทำไมต้องขอตรวจ โดยขณะนี้ตนไม่ได้รบกับแค่ผู้ต้องหาบนเรือแต่รบกับคนที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ และล่าสุดที่ตนทราบมา เช่น มีชุดสืบสวนสอบสวนไปบอกกมธ.สิทธิมนุษยชนฯ ว่า มีแก้วแตกบนเรือ 1 ใบ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่เป็นอาวุธในการทำให้เกิดบาดแผลได้

เมื่อถามว่า ตำรวจสรุปสำนวนว่าเป็นเรื่องประมาท แต่เห็นแย้งว่า เป็นฆาตกรรม มองว่า คดีจะเป็นอย่างไรต่อ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า หากอัยการเล็งเห็นการร้องขอทั้ง 8 ข้อ ของตนและมีการสอบ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ นพ.ธวัชชัย และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ก็จะได้ข้อเท็จจริงว่าไม่ใช่คดีประมาท และจะนำไปสู่การแก้ข้อกล่าวหา เพราะมีพยานหลักฐานใหม่ พนักงานอัยการก็สามารถมีสิทธิแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเป็นคดีฆาตกรรมได้


เมื่อถามว่า จะไม่ทิ้งคุณแม่กลางทางใช่หรือไม่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า “เราไม่ทิ้งคุณแม่อยู่แล้ว ยืนยันว่า ตอนนี้ก็เหมือนแม่ของผมคนหนึ่ง แตงโมก็เหมือนน้องสาวของผมคนหนึ่ง หรือเรียกว่าเป็นลูกสาวก็ได้เพราะผมก็อายุ 55 ปีแล้ว สิ่งที่ทำวันนี้ไม่ใช่แค่เพื่อแตงโมคนเดียวแต่เพื่อประเทศชาติและเหยื่ออาชญากรรมอีกมากมาย เพราะในวันข้างหน้าเราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกหรือไม่”

เมื่อถามว่า ตอนนี้คุณแม่มอบหมายให้ทำคดีแล้ว ไม่ได้เข้ามาเพื่อจะหลังผลด้านใดด้านหนึ่ง แต่ต้องการเข้ามาเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ น.ส.นิดา ใช่หรือไม่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนทำคดี น.ส.นิดา ตั้งแต่ตอนที่คุณแม่ยังมีทนายความอยู่แล้ว มา 3 เดือนเต็มและเราได้ระดมสรรพกำลังของเราที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทุกด้าน เข้ามาวิเคราะห์และมีการประชุมกันทุกอาทิตย์ โดยขณะนั้นคุณแม่ยังไม่มอบอำนาจให้เรา เราก็ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญในการพิสูจน์หลักฐานต่างๆ จนประทั่งประชาชนให้ความหวังและให้กำลังใจเรา ตนคงไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง คดีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงไปมาก เดิมผู้เชี่ยวชาญของกองบัญชาการตำรวจภาค 1 ที่ดูกล้องวงจรปิด ก็มาเรียนรู้จากพวกเรา และตนก็แย้งไปตลอดว่า ตนไม่เคยเห็นว่าแตงโมตกเรือ หรือนั่งท้ายเรือ สิ่งที่เราเห็นคือแตงโมหายไปตั้งแต่ช่วงเวลา 22.12-22.32 น. เหลือคนบนเรือแค่ 5 คน สิ่งสำคัญคือนายบอยได้รับโทรศัพท์จากคนบนเรือในเวลา 22.40 น. ซึ่งตรงกับกล้องวงจรปิดและเป็นหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้

นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตนขอชี้แจงเกี่ยวกับคดีนี้ว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 3 ปี ฉะนั้น ในการดูแลการต่อสู้คดีในชั้นอัยการ ศาลชั้นต้นอุทธรณ์ ศาลฎีกา ตนจะดูแลนางพนิดาประมาณร่วม 3 ปีด้วยกัน โดยทุกสัปดาห์จะเจอกันตลอด โดยจะดูแลเรื่องคดีต่างๆ รวมถึงสุขภาพด้วย ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีอะไรที่ต้องใช้เจ้าหน้าที่รัฐ ตนพร้อมจะซัปพอร์ตนายอัจฉริยะทุกอย่างเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับคดีนี้ อีกทั้งมีความเกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายและการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นแนวคิดคล้ายกับ พญ.คุณหญิงพรทิพย์


เมื่อถามว่า ทำไมนายมงคลกิตติ์ จึงได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เหมือนจะไม่อยากยุ่งกับเรื่องคดีของ น.ส.นิดาแล้ว นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตนยุ่งกับคดีของ น.ส.นิดา ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ เพียงแต่ช่วงมูฟออนให้คนอื่นทำแทน หลักฐานต่างๆ ก็มอบให้ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม โดยหลักฐานที่ตนได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหลายอย่างด้วยกัน สามารถนำไปเป็นพยานใช้ในชั้นศาลได้ทั้งหมด และไม่ถูกดำเนินคดีกลับ ฉะนั้น หลักฐานอื่นๆ ที่เราไม่สามารถพูดได้ก็มีอีกเยอะ ต้องยื่นศาลก่อนจึงจะแถลงได้

เมื่อถามว่า จะให้คำแนะนำกับแม่อย่างไรในเรื่องของทางคดี หรือการเรียกร้องค่าเสียหายต่างๆ จากคนบนเรือ นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตอนนี้คุณแม่ มอบอำนาจให้กับนายอัจฉริยะ กับทนายไปแล้ว เดี๋ยวรอให้คดีอาญาหลักไปก่อน

เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามถึงสาเหตุที่แม่ส่งโทรศัพท์มือถือ ให้บังแจ็ค นางภนิดา เอาแต่ก้มหน้าแสดงท่าทีเคร่งเครียด และไม่ยอมตอบคำถาม ส่วน นายมงคลกิตติ์ พยายามบอกนักข่าว ว่า ให้ทนายความเป็นผู้ตอบคำถาม เมื่อสื่อพยายามจี้ถามอีก โดยร้องขอให้แม่เป็นผู้พูดเอง นางภนิดา เงยหน้า แล้วหันไปทาง นายมงคลกิตติ์ แต่ นายมงคลกิตติ์ ได้โบกมือส่งซิกไม่ให้พูด


ขณะที่ ทางด้าน นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ได้คุยกับคุณแม่แล้วว่า เรื่องของบังแจ็ค จะไปแถลงข่าว วันที่ 2 มิ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ยืนยันว่า วันนั้นตนจะเป็นคนพาคุณแม่ไป และได้นัดผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ไว้แล้ว ดังนั้น ขออนุญาตวันนี้ ให้ไปสัมภาษณ์ วันที่2 มิ.ย. เลยดีกว่า ตนคิดว่า ข้อครหา ที่ว่าตนไปร่วมกับบังแจ็ค เดี๋ยวตนจะให้ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เป็นผู้แถลงข่าว ยืนยันต่อสื่อ และประชาชน จะได้สิ้นสงสัยเสียที ขณะนี้มีทนายคนดัง มากล่าวหาตนตลอดเวลาว่า ตนไปกระทำการร่วมกับบังแจ็ค ในการเอาคุณแม่ เอา iCloud มาให้ตน อันนี้เดี๋ยวให้ที่สอท.ดีกว่า เนื่องจากว่า เดี๋ยวตนมีภารกิจด่วน ที่ต้องไปทำจริง ๆ ซึ่งสำคัญมากด้วย วันนี้คุณแม่เขายังไม่พร้อม ขอยืนยันว่า ไปสัมภาษณ์วันนั้นดีกว่า ไม่ใช่ว่าไม่ให้ตอบนะครับ แต่ว่า ขอเป็นวันที่ 2 มิ.ย. เพราะคุณแม่โดนโจมตีอย่างหนักต้องเข้าใจนิดนึง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงเรื่องโทรศัพท์ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เรียนเบื้องต้นก่อนว่า คุณแม่ได้ให้เขากู้อยู่ เหตุผล ที่คุณแม่ให้กู้ เพราะมันมีภาพ 550 ภาพ ถูกลบไปโดยน้ำแข็ง และก็มีการลบวิดีโอ สำคัญ 2 คลิปไป ซึ่งตรงนี้ ถ้าเขากู้เสร็จ เรื่องนี้ผมยืนยันไม่มีใครแบล็กเมล์ใครแน่นอน เดี๋ยวเขาบอกว่าเขาจะเอามาคืน เราก็ไม่สามารถควบคุมเขาได้หรอก เพราะขณะนี้ทุกอย่างอยู่ในมือบังแจ็ค แต่วันที่ 2 มิ.ย. เราก็ต้องไปใช้สิทธิในฐานะพยานให้คุณแม่ก่อน รอดูว่าเป็นจริงอย่างที่เขาพูดไหมว่า สามารถกู้มาได้แล้วสี่หมื่นกว่าภาพ ซึ่งผมก็ยังไม่เชื่อพูดตรงๆ ก็ต้องรอ ขอเวลา วันที่ 2 มิ.ย.ทีเดียวเลย


เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ บังแจ็คเหมือนเป็นมิจฉาชีพ อย่างที่หลายคนเข้าใจกัน แล้วเป็นห่วงหรือไม่เกี่ยวข้อมูลส่วนตัวของแตงโม ที่ไปตกอยู่ในมือของเขา นายอัจฉริยะ กล่าวว่า คุณอย่าลืมว่า iCloud มีคนรู้หลายคนไม่ใช่เฉพาะบังแจ็คคนเดียวที่รู้ ภาพที่มีการลบ 550 ภาพ กับคลิปวิดีโอ 2 คลิป ตำรวจไม่เคยบอกคุณเลย ตำรวจภาค 1 ไม่เคยบอกแถลงข่าวนักข่าวเลยว่า มีการลบข้อมูล เพียงแต่บอกว่าดำเนินคดีกับน้ำแข็ง ในข้อหาทำลายหลักฐาน ถูกหรือไม่ แต่เขาไม่เคยบอกเลยว่า สิ่งที่มีการทำลายหลักฐานมันมีมากถึง 550 ภาพ และมี2คลิป แต่เขาบอกว่า เขาเลือกลบเพราะเหตุผลแก้ตัวว่าภาพไม่สวย ดังนั้น สิ่งที่คุณแม่เขามีหลักฐานตรงนี้ มาตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่รู้จะไปปรึกษาใคร วันที่ 2 มิ.ย. มีคำตอบ และให้คุณแม่ตอบแน่นอน แต่ว่าวันนี้คุณแม่ยังทำใจไม่ได้ เพราะขนาดร้องเพลงยังผิดเลย ไปร้องเพลงเมื่อคืนยังผิด ยังโดนด่า ขอให้สังคมเข้าใจด้วยว่า แม่เขามีเหตุมีผลในการทำ และสถานการณ์ในขณะนั้นแม่ถูกปิดกั้นทุกอย่าง ให้เวลาแม่หน่อย และวันที่ 2 มิ.ย. ไม่กี่วันเอง เราก็จะได้ทวงถามบังแจ็คว่า เห้ย เมื่อไหร่ยูจะเอาคืน หรือยูกู้ได้จริงไหม ถ้าไม่ได้ก็ต้องเอาคืนมาแค่นั้นเอง

เมื่อถามว่า จากที่ทีมงานวางไว้ทั้งหมด คาดว่า จะสรุปสำนวนคดีทั้งหมด ได้เมื่อไหร่ นายอัจฉริยะ ตอบว่า ก็ไม่น่าจะเกินภายในกำหนดเวลาที่อัยการกำหนด ตนยังไม่รู้ว่า อัยการเลื่อนคดีไปวันไหน เดี๋ยวต้องไปดูว่าเลื่อนกี่วัน แล้วพวกตนมีเวลาเท่าไหร่ในการทำขั้นตอนของกฎหมายให้ทันท่าน


เมื่อถามว่า อย่างน้อยอยากได้เสียงคุณ แม่ยืนยันหน่อยว่า มั่นใจกับทีมงานคณะนี้มากน้อยแค่ไหน นางภนิดา ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ขอโทษนะคะ คุณแม่ร้องไห้” คำที่ท่านอัจฉริยะ พูดว่าลูกของคุณแม่หายไปน่าจะสี่ทุ่ม นั่นแหละคุณแม่เพิ่งรู้ว่าลูกหายไม่เคยมีใครบอกเลยว่า ลูกคุณแม่หายไปไหน จนบัดนี้ คุณแม่เสียใจมากๆ เลยจริงๆ สื่อก็น่าจะรู้ ทำไมไม่บอกคุณแม่บ้าง คุณแม่ก็มั่นใจในทีมของท่าน ส.ส.เต้ เพราะว่ามีทั้งทนายความและที่ปรึกษาและเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ มีทั้งคุณหญิงหมอและก็ ท่านอัจฉริยะ ซึ่งเก็บข้อมูลของน้องโม หลักฐานไว้เยอะมาก เยอะจนคุณแม่บอกตรงๆ ว่าคุณแม่ สงสารท่านนะ

นางภนิดา กล่าวอีกว่า เคยขอเบอร์กับท่านเดชาว่า ขอเบอร์ได้ไหมคุณแม่จะโทร.ขอบคุณ และก็แสดงความเห็นใจว่าที่ท่านทำ ทำเพื่อน้องโมจริงๆ ยอมถึงชีวิต คุณแม่ก็ได้เบอร์มานะ ก็พอดีกำลังจะโทร แต่ท่านเดชา บอกคุณแม่อย่าโทร. ไม่ให้คุณแม่โทร เดี๋ยวคุณแม่จะหาทางลงไม่เจอ เดี๋ยวคุณแม่จะเสียหาย จะหาทางลงไม่เจอคุณแม่เลยไม่โทร จนหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปก็ได้มาเจอท่านตัวจริง ก็ดีใจได้เจอ เพราะเป็นของจริง ทุกท่าน ทีมงาน แม่ดีใจ และก่อนออกมาแม่บอกน้องโมว่า คุณแม่ออกมาทำงานให้ลูกนะ ลูกก็ต้องช่วยคุณแม่ด้วย เพราะเป็นงานใหญ่แล้ว ไม่ใช่ทนายคนเดียวแต่เป็นทีมแล้ว เป็นระดับชาติ น้องก็ต้องเชื่อใจคุณแม่ด้วยว่าจะมาทำงานให้น้องจริงๆ ซึ่งแม่ยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าจะสำเร็จ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย


เมื่อถามว่า กับทนายเดชา ยังคุยกัน ยัง เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมหรือไม่ นางภนิดา ตอบว่า ยังเป็นเพื่อนกันแต่แกก็ชอบ แขวะคุณแม่ เมื่อถามอีกว่า ยังรักกันอยู่หรือไม่ นางพนิดา ตอบว่า เขาคงคิดถึง คุณแม่แหละ รัก ไปถามเขาสิ

เมื่อถามอีกว่า แม่ตัดใจจากการเอาทนายเดชาออก ได้หรือไม่ นางพนิดา กล่าวว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ได้เอาเขาออกเลย คุณก็พูดกันไปเรื่อย

เมื่อถามอีกว่า จะให้ความมั่นใจได้อย่างไรว่า จะไม่เท ลุงอัจฉริยะ จะทำงานนี้จนสำเร็จไปถึงที่สุด สาบานต่อหน้านักข่าวได้หรือไม่ นางพนิดา ระบุว่า ทำไมต้องถามคำถามนี้ละคะ ทางด้านผู้สื่อข่าวจึงตอบว่า เพราะว่าที่ผ่านมา ลุงอัจฉริยะ เคยโดนคุณแม่ว่า นางภนิดา ได้ยินจึงหัวเราะพร้อมกับตอบ ว่า เพราะคุณแม่เคยเทมา 2 ทนาย แล้วใช่หรือไม่ คุณก็ลองวิจารณญาณด้วยตัวคุณเองแล้วกัน คุณแม่ไม่อยากไปกล่าวหาใครนะ คุณน่าจะรู้จักดีว่า ทั้งสองท่านที่คุณแม่เทเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นแหละ ลุงอัจฉริยะ มีข้อมูลเต็มเอี๊ยดเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ จะไปเทท่านได้อย่างไร คุณแม่ต้องการติดต่อท่านมากแต่โดนระงับ ไม่ให้คุย คุณแม่อยากคุยนะ คุยแล้วคุณแม่จะไม่มีทางลง ขู่ด้วย ก็เลยไม่ได้คุย จนมาเจอตัวจริงถึงได้คุย


เมื่อถามว่า ได้เจอตัว นายมงคลกิตติ์ และนายอัจฉริยะ ที่ระบุว่า มีหลักฐานแน่นในการทำคดีรู้สึกอย่างไร นางภนิดา กล่าวว่า แม่รู้สึกดีใจ เหมือนพระเจ้ามาเข้าข้างน้องโม ให้ได้รับความยุติธรรม ให้ได้ช่วยค้นหาความจริงให้ คนเป็นแม่เป็นลูก ใครเคยเป็นแม่บ้างในที่นี้ มันตัดกันไม่ขาด เราก็ต้องถึงที่สุดเหมือนกัน ถึงไม่มีใครช่วยคุณแม่ในทีมนี้ เดี๋ยวคุณแม่ก็หาวิธีช่วยตัวเองให้พิสูจน์ให้ได้ เหมือนที่หลายๆ คดีพ่อแม่ทำด้วยตัวเอง ศาลยกฟ้องก็เช่าห้อง 10 เดือน - 1 ปี เพื่อพิสูจน์ว่าลูกไม่ได้ตกตึกตายเอง มีคนทำร้ายทำให้ลูกตกตึกเขาก็พิสูจน์ได้ คุณแม่ก็คิดว่าว่าต้องทำอย่างไร ลูกเราตายอย่างไร ทำไมต้องถึงตาย ทำไมต้องทำร้ายลูกเราจนถึงตายขนาดนี้ ใครทำ คุณแม่ต้องรู้ให้ได้จริงๆ

เมื่อถามว่า สังคมยังไม่เข้าใจคุณแม่ คิดว่าเรามาเพื่อหวังเงิน 30 ล้าน นางภนิดา เพียงโบกมือไม่ตอบคำถาม โดยนายอัจฉริยะ ได้ขอตอบแทนว่า คุณแม่มีสิทธิตามกฎหมายในการเรียกร้องค่าเสียหายอยู่แล้ว สิ่งที่เราจะทำตนยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่พูดตรงๆ ก็ได้ว่ามีเรื่องของการที่มีการเสนอมา ซึ่งคุณแม่ก็ไปคำนวณว่าถ้าแตงโมอายุ 55 ปี จะมีรายได้เท่าไร แต่ประเด็นนี้ตรงนี้ตนบอกคุณแม่ไปแล้วว่ามันเป็นแค่ความฝัน ไม่ได้เป็นความจริง เพราะขณะนี้เรายังไม่สามารถรู้ได้ว่าแตงโมตายเพราะอะไร เราเชื่ออีกอย่างว่าไม่ได้ตายเพราะประมาท ดังนั้น สิ่งที่พวกตนจะทำคือทำให้เห็นว่าคดีนี้ไม่ได้เกิดชึ้นเพราะความประมาท มันเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลแล้ว สิทธิตามกฎหมายคุณแม่ก็มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายทางละเมิดอยู่แล้วและเราจะดำเนินการให้คุณแม่เป็นขั้นตอนอยู่แล้ว ส่วนการไปพูดคุยกันที สภ.นนทบุรี เป็นเรื่องที่คุณแม่ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย และนายขณะนั้นนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ทนายความ ยังประสบการณ์น้อย ไม่รู้ พูดตรงๆ ถ้าตนทำตนไม่ให้คุย เพราะว่าขณะนั้นเรายังไม่รู้ว่าลูกเราตายเพราะอะไร แต่วันนี้คุณแม่พอเข้าใจแล้วว่าสิทธิตามกฎหมายคืออะไร อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ช่างมัน วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของคดีนี้ เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ตนได้มีโอกาสมารับใช้คุณแม่ จะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด








กำลังโหลดความคิดเห็น